นายกรัฐมนตรี ระบุ รัฐบาลแก้ปัญหาบัตรทอง ฟ้องแพ่ง-อาญา ปิดสถานพยาบาล เอาเงินหลวงคืน หลังพบทุจริต และหาสถานบริการใหม่ให้กับประชาชน สปสช.ย้ำผู้ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกสัญญากับคลินิกชุมชนอบอุ่นใน กทม.ไม่ต้องกังวล สิทธิ์ไม่หาย เข้ารับการรักษาในหน่วยบริการที่ร่วมให้บริการกับ สปสช.ได้ทุกที่ เผยมีคลินิกเอกชนสมัครเข้ามาร่วมเป็นหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติแล้วกว่า 20 แห่ง
เมื่อวันที่ 25 กันยายน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมสภากลาโหม ถึงกรณีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ยกเลิกสัญญากับโรงพยาบาลเอกชนและคลินิกชุมชนอบอุ่นที่มีความผิดปกติในการเบิกจ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติว่า เราอย่าไปมองว่าประชาชนถูกตัดสิทธิ์เพียงอย่างเดียว เพราะตนคิดว่าไม่ได้มีการตัดสิทธิ์อะไรเลย เพียงแต่ว่ามีการตรวจสอบบางสถานที่พบการทุจริต ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ตรวจสอบเอง โดยมีการร้องเรียนเข้ามา เมื่อพบก็ต้องยกเลิกในสถานบริการเหล่านั้น และดำเนินคดีตามกฎหมายอาญาหรือทางแพ่ง เพื่อเรียกค่าเสียหายคืน เพราะเป็นการใช้งบประมาณของภาครัฐไป เราก็ต้องจัดหาสถานที่บริการใหม่มาทดแทน และวันนี้ได้ดำเนินการไปแล้ว ทุกคนอาจจะลำบากนิดนึงเพราะไกลจากจุดบริการเดิม ก็ต้องทน เพราะสถานบริการเหล่านี้ทำไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ใช้งบประมาณไม่ถูกต้อง ก็ต้องลงโทษ และปิดกิจการ
ทางด้าน นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการ สปสช.กล่าวถึงกรณีการยกเลิกสัญญาดังกล่าวว่า การดำเนินการมี 3 ลอต ลอตแรกยกเลิกไปแล้ว 18 แห่ง ลอตที่ 2 จำนวน 64 แห่ง และลอตที่ 3 อยู่ระหว่างการตรวจสอบอีก 106 แห่ง โดยคาดว่าจะมีข้อสรุปภายในสิ้นเดือน กันยายนนี้ ทั้งนี้ แม้จำนวนผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมดขณะนี้มีประมาณ 8 แสน-1 ล้านคน แต่มีกลุ่มที่มีความจำเป็นต้องรับการรักษาอย่างเร่งด่วน เช่น มีนัดผ่าตัดล่วงหน้า ต้องรับเคมีบำบัด กลุ่มผู้ป่วยที่ต้องฟอกไต กลุ่มผู้ป่วยที่ต้องได้รับยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 30% เท่านั้น กลุ่มนี้ สปสช. ประสานผู้ป่วยเพื่อจัดหาหน่วยบริการมารองรับ รวมทั้งผู้ป่วยที่ต้องได้รับยาต่อเนื่องก็ได้ประสานหาหน่วยบริการให้เช่นกัน
ขณะที่ประชากรกลุ่มใหญ่ๆ ประมาณ 70% เป็นประชากรที่ร่างกายยังแข็งแรงดี ไม่ได้ป่วย แต่ สปสช.จะเร่งจัดหาหน่วยบริการสำรองให้กรณีที่อาจเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา โดยคนกลุ่มนี้จะอยู่ในกลุ่มสิทธิว่าง ซึ่งถือเป็นสิทธิพิเศษสามารถไปรับบริการที่โรงพยาบาลของรัฐหรือเอกชนหรือหน่วยบริการอื่นๆ ที่ร่วมโครงการกับ สปสช.ได้ทุกแห่ง เพียงแต่ที่ผ่านมาการประชาสัมพันธ์อาจไม่ทันการณ์
นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวอีกว่า ในกรณีที่พบว่าผู้ป่วยไปขอแฟ้มประวัติการรักษาจากคลินิกเดิมซึ่งถูกยกเลิกสัญญาและถูกเรียกเก็บเงิน 150-300 บาทนั้น สปสช.รับทราบปัญหานี้และได้ทำการเปิดฐานข้อมูลเพื่อให้แพทย์ในหน่วยบริการใหม่สามารถดึงข้อมูลประวัติการรักษาได้ภายใต้การลงนามยินยอมเปิดเผยข้อมูลของตัวผู้ป่วย ยกตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยเบาหวาน หากยาหมดสามารถถือซองยาไปขอรับยาที่หน่วยบริการใหม่ได้เลย หรือหากแพทย์ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมก็สามารถดึงข้อมูลประวัติการรักษาจากฐานข้อมูล สปสช.ได้ ดังนั้นผู้ป่วยจึงไม่จำเป็นต้องกลับไปขอข้อมูลจากหน่วยบริการเดิมอีกเพียงแต่ต้องเซ็นยินยอมการเปิดเผยข้อมูลที่หน่วยบริการใหม่จะจัดเตรียมไว้ให้ท่านลงนาม
“ขอย้ำว่าพื้นที่ที่มีปัญหาคือบางส่วนของ กทม.เท่านั้น คลินิกดีๆ ยังมี และสิทธิหลักประกันสุขภาพไม่ได้ถูกยกเลิกไปด้วย และขณะนี้มีคลินิกเอกชนสมัครเข้ามาร่วมเป็นหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติแล้ว 20 แห่ง ทั้งนี้การที่หน่วยบริการถูกยกเลิกสัญญาไปมากขนาดนี้ย่อมเกิดผลกระทบกับการให้บริการ สปสช.จึงได้ดำเนินการเชิญชวนคลินิกที่ดีๆ ให้เข้ามาร่วมให้บริการกับ สปสช. มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” เลขาธิการ สปสช. กล่าว
สำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบบัตรทองของคลินิกที่ถูกเลิกสัญญาทาง สปสช.ดำเนินการส่งจดหมาย และจัดส่ง SMS เพื่อทำความเข้าใจถึงสิทธิการรักษาและการใช้สิทธิของท่านในครั้งนี้ ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมโทรสายด่วน สปสช. 1330 หรือไลน์ @ucbkk และ @nhso และสามารถค้นหาข้อมูลสถานพยาบาลจาก Link https://reghosp.nhso.go.th/hospital_search/ โดยพิมพ์ชื่อสถานพยาบาลได้เลย
นพ.ศักดิ์ชัย เปิดเผยผลการประชุมหารือกับผู้บริการกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา ถึงแนวทางการจัดบริการในพื้นที่ กทม. กรณีที่ สปสช.ยกเลิกสัญญาคลินิกเอกชนที่ทุจริตในการเบิกจ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่วมกัน ดังนี้ 1. ศูนย์บริการสาธารณสุขของ กทม. จะขยายบริการปฐมภูมิในพื้นที่ โดยศูนย์บริการสาธารณสุขทำหน้าที่เป็นแม่ข่ายเชื่อมกับคลินิกในพื้นที่ ทั้งคลินิกทำงานในเวลา นอกเวลา คลินิกเฉพาะทาง คลินิกทั่วไป เพื่อรองรับประชาชนสิทธิบัตรทองที่หน่วยบริการถูกยกเลิกสัญญา โดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 โดยทางสำนักอนามัย กทม. จะช่วยตรวจสอบในเรื่องคุณภาพบริการ และจะรับดูแลบริการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคทั้งหมดในเขต
2. สปสช.จะดำเนินการเซ็นสัญญากับคลินิกเอกชนรายใหม่เพื่อเข้าร่วมเป็นหน่วยบริการ ปรับเกณฑ์การขึ้นทะเบียนคลินิกเข้าร่วมให้บริการให้มากขึ้น ตลอดจนพิจารณาปรับอัตราจ่ายชดเชยบริการให้คลินิกให้เหมาะสมอีกด้วย
ทั้งนี้ ในช่วงที่ยังไม่สามารถจัดระบบบริการปฐมภูมิให้กับประชาชนเพื่อลงทะเบียนหน่วยบริการประจำได้ กทม.จะช่วยสื่อสารกับประชาชนว่าหน่วยบริการใดบ้างที่ให้บริการได้ ทั้งบริการแบบผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน โดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้
นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังมีการหารือในประเด็นอื่นๆ ได้แก่ ประเด็นที่คลินิกและโรงพยาบาลเอกชนที่ถูกยกเลิกสัญญาไปแล้ว ทาง สปสช.ได้หารือกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ในฐานะผู้มีอำนาจกำกับดูแล เพื่อทำการชี้แจงคลินิกและโรงพยาบาลเอกชนว่าไม่สามารถเก็บเงินผู้ป่วยหากผู้ป่วยมาขอประวัติการรักษา ขณะเดียวกัน สปสช.จะทำการปรับปรุงอัตราการจ่ายกรณีสิทธิว่าง ให้สอดคล้องกับสภาวะความเป็นจริง และจะทำหนังสือให้หน่วยบริการทราบว่าประชาชนสามารถไปรับบริการได้โดยไม่ต้องมีใบส่งตัวต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี