มหาดไทยจี้ผู้ว่าฯ
ลุยโครงการแก้ปัญหาภัยแล้ง
เน้นโปร่งใสตรวจสอบได้
สั่งกำชับต้องไม่มีทุจริต
ปลัด มท.ส่งหนังสือถึงผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ ลุยโครงการแก้ปัญหาภัยแล้ง เน้นต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ ด้าน“บิ๊กป้อม” ถก กนช.อนุมัติโครงการใหญ่ เตรียมน้ำต้นทุน รับมือภัยแล้งช่วยชาวบ้าน เกษตรกร และภาคธุรกิจ รับพื้นที่อีอีซี
เมื่อวันที่ 28 กันยายน นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย (มท.) ได้ส่งหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ลงวันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา เรื่องการดำเนินโครงการบรรเทาปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม โดยมีเนื้อหาโดยสรุปว่า กระทรวงมหาดไทยได้แจ้งคณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม และวันที่ 16 กันยายน 2563 เห็นชอบให้จังหวัดใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการบรรเทาปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมทั่วประเทศได้มอบหมายให้จังหวัดรับผิดชอบโครงการและแจ้งแนวทางปฏิบัติ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ
ทั้งนี้ ได้ให้จังหวัดดำเนินการ ดังนี้ 1.ให้ตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างโครงการที่ได้รับจัดสรรงบประมาณในพื้นที่ ทั้งหน่วยงานในระดับอำเภอ ระดับจังหวัด ส่วนราชการ ส่วนกลางที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ หรือรัฐวิสาหกิจที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณตามภารกิจ ให้ดำเนินการตามระเบียบ กฎหมายการจัดซื้อจัดจ้างอย่างเคร่งครัดให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการดำเนินโครงการ
2.ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกำชับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ กรณีพบการกระทำอันเป็นการทุจริต ผิดระเบียบ กฎหมาย หรือมีการแอบอ้าง ฉ้อฉล หรือทำให้เชื่อโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยวิธีการใดๆ ให้แจ้งความดำเนินคดีหรือดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายโดยเคร่งครัด และให้รายงานกระทรวงมหาดไทยทราบโดยด่วนและ 3.ให้หน่วยดำเนินการประมวลข้อมูลการดำเนินโครงการและการจัดซื้อจัดจ้างอย่างเป็นระบบเพื่อรองรับการตรวจสอบ และหากมีกรณีร้องเรียนการกระทำโดยไม่ชอบด้วยระเบียบกฎหมาย ให้ผู้บังคับบัญชาตรวจสอบ และรายงานให้กระทรวงมหาดไทยทราบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ ครม.มีมติอนุมัติโครงการดังกล่าว ทางกระทรวงมหาดไทย ได้มีหนังสือสั่งการไปยังแต่ละจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศก่อนหน้านี้2ครั้ง คือในวันที่ 19 สิงหาคม และวันที่ 18กันยายนที่ผ่านมา โดยเน้นย้ำเรื่องความโปร่งใสในการดำเนินการควบคุม ตรวจสอบ และการป้องกันทุจริต
ทางด้าน พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) โดยที่ประชุมรับทราบสถานการณ์น้ำที่ผ่านมา ช่วงเดือนพฤษภาคม-กันยายน 2563 ซึ่งประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากพายุ ทำให้มีปริมาณน้ำฝนและส่งผลให้มีน้ำในอ่างเก็บน้ำเพิ่มขึ้น ได้แก่พายุ ซินลากู ,พายุฮีโกส และพายุโนอึล
ปัจจุบันสถานการณ์น้ำในแหล่งน้ำที่มีอยู่ทั้งประเทศ 141,489 แห่ง มีปริมาณน้ำรวม 40,248 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 49 ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อการบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้งที่จะมาถึง กนช.จึงพิจารณาเห็นชอบโครงการต่างๆทั้งโครงการขนาดใหญ่ และโครงการสำคัญ เพื่อแก้ปัญหาน้ำแล้ง น้ำท่วม อย่างเป็นระบบทั่วประเทศ เตรียมแหล่งน้ำต้นทุนเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน เกษตรกร และภาคอุตสาหกรรม รวมถึงรองรับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ให้มีน้ำใช้อย่างเพียงพอโดย กนช.พิจารณาเห็นชอบโครงการเร่งด่วน ได้แก่โครงการอ่างเก็บน้ำคลองโพล้ จ.ระยอง โครงการอ่างเก็บน้ำแม่ตาช้าง จ.เชียงราย และโครงการจัดหาน้ำดิบเพื่อผลิตน้ำประปาบ้านมะขามเฒ่า จ.นครราชสีมา
พล.ต.พัชร์ศักดิ์ เปิดเผยอีกว่า ทาง พล.อ.ประวิตร ได้กำชับให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.) ให้กำกับ ติดตาม แผนงานโครงการที่ผ่านความเห็นชอบแล้ว พร้อมเร่งรัดกรมชลประทาน และหน่วยงานต่างๆที่รับผิดชอบโครงการ ต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพและความคุ้มค่าที่จะได้รับตามวัตถุประสงค์ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อพี่น้องประชาชนเกษตรกร รวมทั้งภาคอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว ให้สามารถรองรับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งรณรงค์ขอให้ทุกภาคส่วนช่วยกันใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า และประหยัด ควบคู่กันไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี