วันพฤหัสบดี ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2569
ช่วงนี้จัดได้ว่าเป็นช่วงกลางค่อนข้างปลายฤดูฝนแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันออกพรรษาแล้ว และก็แน่นอนว่าเป็นเครื่องบ่งชี้ความผูกพันระหว่างความเชื่อ วิธีปฏิบัติทางศาสนากับสภาพธรรมชาติ และก็เป็นสภาพธรรมชาติที่เอื้ออำนวยต่ออาชีพการเกษตรที่ผูกติดกับวัฒนธรรมประเพณี บนองค์ประกอบสำคัญคือธรรมชาติ
ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสนั่งรถยนต์เดินทางขึ้นภาคเหนือกับกลุ่มผู้สูงวัย และก็เช่นเดียวกับทุกๆครั้งที่ได้มีโอกาสเดินทางผ่านไปยังพื้นที่ ชุมชนหรือแม้แต่บริเวณพื้นที่การเกษตรระหว่างทาง ตลอดเส้นทาง ตลอดระยะเวลาเกือบ 40 ปี ที่ทำงานในหน้าที่มา เมื่อต้องเดินทางด้วยรถยนต์ออกปฏิบัติงานในต่างจังหวัด ผมมักจะชอบที่จะนั่งดูภาพที่ปรากฏแก่สายตาตลอดสองข้างทางที่ผ่าน เห็นการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ การใช้ประโยชน์จากพื้นที่เพื่อทำการเกษตรอันเป็นอาชีพดั้งเดิมและเป็นอาชีพหลักของคนไทยมาแต่นมนาน ได้เห็นการเปลี่ยนแปลง เห็นความแตกต่างของชนิดกิจกรรมด้านการเกษตรในแต่ละพื้นที่ที่ขับรถผ่าน หรือแม้บนเส้นทางเดิมแต่ต่างเวลา ก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงและแตกต่างกัน ตามห้วงเวลาที่ปรากฏแก่สายตา บางช่วงเดินทางในช่วงฤดูแล้งก็ได้เห็นสภาพข้อเท็จจริงที่ปรากฏบางครั้งเกิดความรู้สึกมากว่าทำไมประเทศไทยที่มีความอุดมสมบูรณ์มากมาย จึงมีสภาพเช่นนี้ต้นข้าวที่ยืนแห้งตาย ต้นไม้ที่เหี่ยวเฉา ปรากฏร่องรอยการเผาไหม้หรือแม้แต่บางพื้นที่ก็ปล่อยให้เป็นพื้นที่ว่างเปล่า มิได้นำพื้นที่มาใช้ให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใด และยิ่งเมื่อเปรียบเทียบในพื้นที่ของต่างประเทศในช่วงที่ผมได้มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมเยียน ดูงาน ซึ่งผมก็ชอบที่จะเดินทางโดยรถยนต์เพื่อถือโอกาสชมทิวทัศน์สองข้างทางไปด้วย แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบกับภาพที่ปรากฏกับของบ้านเรา เห็นความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ที่ขับรถผ่าน การใช้ประโยชน์ของพื้นที่ดิน เพื่ออยู่อาศัยและประกอบอาชีพ ล้วนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ซึ่งเราได้ยิน ได้รับทราบเรื่องอย่างนี้มาโดยตลอด แต่นานวัน ประเทศที่เคยยิ่งใหญ่ เป็นผู้นำด้านการเกษตร กลับมีสภาพของการเปลี่ยนวิถีชีวิตเกษตรกร หรือพื้นที่เกษตรกรรมอย่างมากจนบางพื้นที่แทบจะไม่เหลือร่องรอยของความยิ่งใหญ่ด้านการเกษตรในอดีตเลย เริ่มตั้งแต่ผมขับรถออกมาจากที่นัดหมายคือมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ผลิตบัณฑิตด้านการเกษตรออกไปรับใช้แผ่นดิน ขับรถผ่าน บางเขน หลักสี่ ดอนเมือง ซึ่งก็
ล้วนมีประวัติความเป็นมาทั้งสิ้น เคยได้รับฟังบางเรื่องราวจากผู้หลักผู้ใหญ่ที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่การเกษตรในเขตพื้นที่บางเขน เล่าให้ฟังว่า สมัยก่อน พื้นที่ตรงนี้เป็นทุ่งนา แต่เมื่อเมืองเริ่มขยาย ความต้องการพื้นที่อยู่อาศัยก็มีมากขึ้น มีการเข้ามากว้านซื้อที่ดินเพื่อนำไปทำเป็นหมู่บ้านจัดสรร หรือแม้แต่เป็นที่อยู่อาศัยของตนเอง มีเกิดขึ้นมากมาย ท่านเองในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่เกษตรในพื้นที่ดังกล่าว ก็จะเป็นผู้หนึ่งที่ทราบสภาพพื้นที่เป็นอย่างดี จนวันหนึ่ง มีเจ้าของพื้นที่นามาขอพบและมีของฝากพร้อมกับคำขอบคุณว่าเขาสามารถขายที่นาเขาได้แล้ว ด้วยความช่วยเหลือที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่ท่านนี้ ท่านจึงได้ถามไถ่จนได้ความจริงว่าเขาได้ขายพื้นที่นาดังกล่าวไปแล้ว ได้ราคาดีพอสมควร และเมื่อท่านได้ทบทวนย้อนหลังไปประมาณหนึ่งสัปดาห์ ที่ผ่านมา มีผู้มาพบและสอบถามข้อมูลสภาพพื้นที่ในแถบดังกล่าวและท่านก็ได้นำเสนอข้อมูลถึงสภาพความเหมาะสมในการทำการเกษตรไป จึงได้ทราบว่าเป็นการนำข้อมูลไปประกอบการตัดสินใจซื้อพื้นที่นาดังกล่าวนั่นเอง จนปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าว เกิดเป็นหมู่บ้านจัดสรรใหญ่โตมีผู้อยู่อาศัยมากมาย กลายเป็นเมืองโดยสมบูรณ์ไปแล้ว ภาพท้องทุ่งบางเขนที่เป็นเรือกสวนไร่นา หายไปโดยสิ้นเชิง กลายเป็นตึกรามบ้านช่อง เกิดขึ้นเต็มไปหมด ยิ่งช่วงนี้มีรถไฟฟ้าผ่านไปถึงคูคต และจะมีอีกหลายสายตามมา จึงเห็นอาคารที่อยู่อาศัยสูงๆ เกิดขึ้นมากมายตลอดสายทาง จนจำพื้นที่เดิมไม่ได้เลย นี่ขนาดเป็นพื้นที่ที่ผมเริ่มออกเดินทางขึ้นเหนือยังไม่พ้นเขตกรุงเทพมหานครเลย ยังมีเรื่องราวมากมาย ยิ่งเมื่อกำลังจะขับรถผ่านรังสิต ยิ่งมีประเด็นอีกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องราวของพื้นที่ดังกล่าวถึงกับเป็นส่วนหนึ่งของเพลงลูกทุ่งเพลงดังในอดีต ซึ่งก็คงต้องนำมาเสนอในโอกาสต่อไปครับ
สมชาย ชาญณรงค์กุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี