กรมส่งเสริมสหกรณ์ ถือเป็นหน่วยงานสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2515 มีอำนาจหน้าที่ในการส่งเสริม สนับสนุน แนะนำ กำกับ และดูแลระบบสหกรณ์ของประเทศไทย ภายใต้วิสัยทัศน์ “การสหกรณ์มั่นคง สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรเข้มแข็ง เศรษฐกิจและสังคมของชุมชนยั่งยืน” โดยในปัจจุบันประเทศไทยมีจำนวนสหกรณ์ 7 ประเภท ได้แก่ สหกรณ์การเกษตร สหกรณ์นิคม สหกรณ์ประมง สหกรณ์ร้านค้า สหกรณ์บริการ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนและสหกรณ์ออมทรัพย์ รวมกันจำนวน 8,011 สหกรณ์ และมีกลุ่มเกษตรกรจำนวน 4,562 กลุ่ม ปริมาณธุรกิจ จำนวน 2,227,398 ล้านบาท ปริมาณธุรกิจรวบรวม 69,315.38 ล้านบาท และปริมาณธุรกิจแปรรูป 20,181.41 ล้านบาท ซึ่งตลอดระยะเวลา 48 ปีที่ผ่านมา กรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้ทำหน้าที่ส่งเสริม “ระบบสหกรณ์” ให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกพื้นที่ให้ดีขึ้น โดยได้ทำการส่งเสริมในส่วนของต้นน้ำเพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุดิบคุณภาพ การส่งเสริมในส่วนของกลางน้ำเพื่อยกระดับการพัฒนาสินค้าเกษตร และการส่งเสริมในส่วนของปลายน้ำ คือ การตลาดและเชื่อมโยงเครือข่าย
การส่งเสริมในส่วนของต้นน้ำ โดยการจัดสรรที่ดินทำกินและเร่งรัดการออกเอกสารสิทธิในลักษณะนิคมสหกรณ์ทั่วประเทศ ประกอบด้วย 1.โครงการการจัดที่ดินโดยวิธีการสหกรณ์ ซึ่งปัจจุบัน ดำเนินการใน 2 รูปแบบคือ 1.1 รูปแบบนิคมสหกรณ์ เป็นการจัดสรรที่ดินเพื่อการเกษตร ให้กับราษฎรที่เดือดร้อนเรื่องที่ดินทำกิน ตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 มีพื้นที่โครงการมากกว่า 3 ล้านไร่ เพื่อจัดตั้งเป็นนิคมสหกรณ์ 36 แห่งทั่วประเทศ ออก กสน.3 แล้วกว่า 2 ล้านไร่
สมาชิก 149,445 ราย ออก กสน.5 แล้วกว่า 1.5 ล้านไร่สมาชิก 110,175 ราย 1.2 รูปแบบสหกรณ์การเช่าที่ดิน เป็นการจัดสรรพื้นที่ป่าสงวนเสื่อมโทรมที่ไม่สามารถฟื้นฟูให้คืนเป็นป่าดั่งเดิมได้ ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2513 และวันที่ 13 สิงหาคม 2517 มีมติให้กรมส่งเสริมสหกรณ์รับมาจัดสรรให้เกษตรกรเข้าทำประโยชน์และอยู่อาศัยโดยไม่ต้องออกพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเป็นนิคมสหกรณ์ และให้ถือใช้วิธีการดำเนินการต่าง ๆ เช่นเดียวกับการจัดที่ดินในรูปนิคมสหกรณ์โดยอนุโลม สมาชิกจะไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแต่จะได้รับสิทธิการทำกินในระยะยาวและตกทอดทางมรดกเท่านั้น ปัจจุบันมีจำนวน 14 ป่า 13 นิคม เนื้อที่กว่า 1.5 ล้านไร่
2.โครงการสนับสนุนเงินทุนเพื่อสร้างระบบน้ำในไร่นาโดยจัดสรรเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร เป็นเงินยืมปลอดดอกเบี้ยกว่า 276 ล้านบาท เพื่อขุดสระเก็บกักน้ำ เจาะบ่อบาดาล และจัดหาอุปกรณ์สำหรับนำน้ำใช้ในแปลงเกษตร เพื่อลดการพึ่งพาแหล่งน้ำจากธรรมชาติ มีแหล่งน้ำเป็นของตัวเองให้กับสมาชิกกว่า 6,014 รายในสหกรณ์ และกลุ่มเกษตรกร 407 แห่ง แบ่งเป็นขุดสระ 1,942 ราย เจาะบ่อบาดาล 2,768 ราย และการจัดหาอุปกรณ์ 1,304 ราย พร้อมกันนี้ยังได้จัดสรรเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยระยะที่ 2 จำนวน 500 ล้านบาท สนับสนุนให้สมาชิกมีแหล่งน้ำเป็นของตนเองอย่างต่อเนื่อง 3.โครงส่งเสริมปุ๋ยผสมใช้เองและสนับสนุนเมล็ดพันธุ์คุณภาพผ่านสถาบันเกษตรกร เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกร อบรมให้ความรู้แก่สมาชิกถึงการใช้ปุ๋ยที่เหมาะสมกับพืชและดิน พร้อมทั้งส่งเสริมให้ใช้เมล็ดพันธุ์ดีมีคุณภาพ โดยสนับสนุนสินเชื่อให้สมาชิกกู้ยืมเพื่อเตรียมแปลงผลิตและจัดหาเมล็ดพันธุ์ดี รวมทั้งสหกรณ์ใช้รวบรวมผลผลิตซื้อคืนเมล็ดพันธุ์จากสมาชิก 4.โครงการส่งเสริมและสร้างทักษะในการประกอบอาชีพทั้งในและนอกภาคเกษตร ให้มีความรู้ในการผลิตให้มีคุณภาพได้มาตรฐาน GAP หรือหลักปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices: GAP) โดยสนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ วงเงิน 160 ล้านบาท ให้กับสหกรณ์โคนม 39 แห่ง เพื่อพัฒนาฟาร์มโคนมให้ได้มาตรฐาน GAP 5.โครงการขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ในสถาบันเกษตรกรในพื้นที่นิคมสหกรณ์ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ในการทำเกษตรอินทรีย์ให้กับสมาชิกสหกรณ์การเกษตรและกลุ่มเกษตรกร และนำไปสู่การตรวจรับรองการผลิตมาตรฐาน เพื่อยกระดับเป็นกลุ่มเกษตรอินทรีย์ รวมทั้งสร้างโอกาสทางการตลาดให้มีช่องทางการจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ของสหกรณ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศบนพื้นที่กว่า 3,000 ไร่ ใน 49 นิคมสหกรณ์ ใน 29 จังหวัด 6.กองทุนพัฒนาสหกรณ์ (กพส.) เป็นทุนหมุนเวียนส่งเสริมกิจการของสหกรณ์ โดยสนับสนุนเงินทุนให้กับสหกรณ์ทุกประเภทให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อตอบสนองความต้องการของสหกรณ์และสมาชิกสหกรณ์ ภายใต้แนวคิดของการช่วยเหลือซึ่งกันและกันและเอื้ออาทรต่อสังคม 7.โครงการสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มเกษตรกร เพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการผลิตและการตลาด โดยจัดสรรเงิน 1,000 ล้านบาท จากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร เงินยืมดอกเบี้ยต่ำให้กับกลุ่มเกษตรกร 7,254 กลุ่ม เพื่อใช้เป็นเงินหมุนเวียนและทุนประกอบอาชีพ และได้มีการขยายผลสู่การจัดตั้งโครงการสร้างความยั่งยืนในอาชีพเกษตรกรของสมาชิกกลุ่มเกษตรกร ขยายเพิ่มอีก 5 ปี ตั้งแต่ปี 2564-2569
สำหรับการส่งเสริมในส่วนของกลางน้ำ เพื่อยกระดับการพัฒนาสินค้าเกษตร ประมง และปศุสัตว์ ด้วยกระบวนการผลิต การแปรรูป การยืดอายุการเก็บรักษา ลดการสูญเสีย สร้างมูลค่าเพิ่มโดยสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ใหม่ ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาสร้างความโดดเด่น ความแตกต่างให้ผลิตภัณฑ์ ที่ได้มาตรฐาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สะท้อนอัตลักษณ์ชุมชน ตลอดจนผลักดันเข้าสู่ตลาดเชิงพาณิชย์ โดยในปี 62 นำร่องกับ 14 ผลิตภัณฑ์ ใน 14 สหกรณ์ และขยายผลเพิ่มในปี 63 อีกกว่า 30 ผลิตภัณฑ์ ใน 30 สหกรณ์ทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการนำระบบ GMP (Good Manufactory Practice) ยกระดับการผลิตสินค้าสหกรณ์สู่มาตรฐาน GMP เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค สร้างกระบวนการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยในกระบวนการรวบรวมและแปรรูปตามระบบมาตรฐาน GMP ด้วยการจัดทีมที่ปรึกษามืออาชีพเข้าให้คำปรึกษาแนะนำในเชิงลึกทั้งกระบวนการเพื่อให้ผ่านการรับรองระบบมาตรฐาน GMP เป้าหมาย 10 แห่ง 4 ชนิดสินค้า คือ ผลไม้ กาแฟ ข้าว และโคเนื้อ ประกอบด้วย โรงสีข้าว7 แห่ง อาคารรวบรวมและคัดแยก 1 แห่ง อาคารแปรรูปและบรรจุ 2 แห่ง ตลอดจนการแก้ไขปัญหาหนี้สิน บรรเทาภาระหนี้สินให้กับสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร และให้ความช่วยเหลือสมาชิกที่ประสบภัยพิบัติต่างๆ โดยการให้เงินกู้ ตลอดจนสร้างอาชีพและรายได้รวมถึงการจัดทำแนวทางพิจารณาสินเชื่อสำหรับการให้เงินกู้ระหว่างสหกรณ์ด้วย Credit Scoring เพื่อเป็นเครื่องมือในการประเมิน ให้ได้สินเชื่อที่มีคุณภาพ ลดการเกิดสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และยังใช้ติดตามความสามารถในการชำระหนี้ก่อนที่จะเกิดการผิดนัดชำระหนี้ได้
การส่งเสริมในส่วนของปลายน้ำ เป็นการส่งเสริมด้านการตลาดและเชื่อมโยงเครือข่าย ด้วยการจัดตั้ง “ตลาดสินค้าเกษตร” ให้เป็นตลาดในภูมิภาค ช่วยเหลือเกษตรกรให้มีสถานที่จำหน่ายถาวร ซึ่งปัจจุบันดำเนินการแล้วใน 65 แห่งทั่วประเทศ พร้อมทั้งเชื่อมโยงสินค้าเกษตรคุณภาพสู่ห้างโมเดิร์นเทรด โดยใช้การตลาดนำการผลิต เป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่างกระทรวงเกษตรฯ, กระทรวงพาณิชย์ และภาคเอกชน เพื่อให้เกษตรกรวางแผนการผลิตตอบสนองความต้องการของตลาด ทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ เช่น จัดจำหน่ายสินค้าผ่าน Platform ออนไลน์ COOP SHOPTH.comของกรมส่งเสริมสหกรณ์ และแพลตฟอร์ม CO-OP CLICKโดยชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้จัดอบรมเพื่อเพิ่มทักษะให้แก่เกษตรกรให้รู้จักนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ สามารถนำเสนอสินค้าเกษตรสู่ตลาดออนไลน์ ผ่านช่องทาง Social Media พร้อมไปกับการจัดอบรมหลักสูตรเพิ่มทักษะเกษตรกร เปลี่ยนเกษตรกรให้เป็นผู้ค้าออนไลน์มืออาชีพ ผ่านการขายบนแพลตฟอร์ม LAZADA และ SHOPEE ยังผลให้สร้างรายได้ทางออนไลน์ถึงปัจจุบันมูลค่าสูงถึง 275 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังจัดทำโครงการซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์เพื่อพัฒนาสหกรณ์ ให้เป็นจุดจำหน่ายสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพของสหกรณ์ในรูปแบบซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ ที่สด สะอาด และปลอดภัย โดยเชื่อมโยงเครือข่ายสหกรณ์ภาคการผลิต การแปรรูปกระจายสินค้าตรงถึงผู้บริโภคในราคาที่เป็นธรรม ถึงวันนี้ มีร้านค้าสหกรณ์94 แห่ง ใน 43 จังหวัด สร้างยอดขายเฉลี่ยรวม 8 ล้านบาทต่อเดือน
จะเห็นว่า ภารกิจการขับเคลื่อนสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ในทุกมิติที่ดำเนินการมาตลอดระยะเวลา 48 ปี ได้เป็นฟันเฟืองสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของสมาชิกสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และประชาชนทุกสาขาอาชีพให้ดีขึ้น สร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและสังคมของชุมชนได้อย่างยั่งยืน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี