เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) แถลงข่าว "สปสช.สร้างความมั่นใจประชาชน แจงแนวทางบรรเทาผลกระทบประชาชนสิทธิบัตรทอง กทม.ก่อนยกเลิกสัญญาหน่วยบริการเพิ่ม 30 ก.ย.นี้" ว่า เรื่องนี้สืบเนื่องจากกระบวการตรวจสอบในเรื่องของการดูแลการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในกลุ่มโรคเมตาบอลิก และตรวจพบความผิดปกติของการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลมายัง สปสช.และลงไปตรวจสอบมากขึ้น ก็พบว่า 18 คลินิก มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการไม่เป็นไปตามสุจิรต จึงขยายผลตรวจสอบเชิงลึกมากขึ้น
นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวอีกว่า การตรวจสอบในล็อตที่ 3 เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยมีการดำเนินการ้องทุกข์แจ้งความกับกองปราบปรามนเรียบร้อย และส่งหนังสือยกเลิกสัญญาการเป็นหน่วยบริการ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ทั้งหมดจำนวน 108 แห่ง ครอบคลุมประชากรราว 1 ล้านคน ทั้งนี้ มีการยกเลิกก่อนหน้านี้มาแล้ว 2 ล็อต โดยล็อตที่ 1 จำนวน 18 แห่ง ล็อตที่ 2 จำนวน 64 แห่ง ซึ่งทั้ง 3 ล็อตครอบคลุมประชากรในแง่ของคนที่อยู่ในสิทธิบัตรทองประมาณ 2 ล้านคน แต่ครอบคลุมกลุ่มที่มีผลกระทบจริงต้องใช้บริการรักษาต่อเนื่องประมาณ 4 - 5 แสนคน รวมทั้ง 3 ล็อต จำนวน 190 แห่ง แยกเป็น รพ.เอกชน 10 แห่ง คลินิกทันตกรรม 5 แห่ง ที่เหลือเป็นคลินิกชุมชนอบอุ่น มูลค่าความเสียหายรวม 198 ล้านบาท ซึ่งสามารถเรียกคืนได้แล้วเล็กน้อยจำนวนหนึ่ง ที่เหลือใช้วิธีชะลอจ่ายงบฯอื่นๆให้กับหน่วยบริการเหล่านั้นแทน
เลขาฯ สปสช.กล่าวอีกว่า ในระยะเวลาสั้น สปสช.เร่งดำเนินการอำนวยควาสะดวกให้กับประชาชนมากที่สุด ภายใต้ข้อจำกัดของหน่วยบริการที่ขาดแคลน โดยให้สิทธิกับประชาชนที่ยังไม่เจ็บป่วยในลักษณะสิทธิพิเศษ ไม่ต้องลงทะเบียนหน่วยบริการประจำ หมายความว่าหากเจ็บป่วยจะไปใช้บริการในหน่วยบริการของรัฐที่ใดก็ได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและไม่ต้องมีใบส่งตัว เป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือนในช่วงที่พยายามแก้ไขหน่วยบริการประจำ
สำหรับผู้ที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาพยาบาลนั้น แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มที่จำเป็นจริงๆ ต้องนอน รพ.เช่น ผู้ป่วยล้างไต หรือรอผ่าตัด เป็นต้น สปสช.ได้ประสานสถานที่ต่างๆ พร้อมเรียบร้อยแล้ว หากยังไม่ได้รับการประสานสามารถติดต่อเข้ามาที่ สปสช.ได้ 2.กลุ่มผู้ป่วยเอดส์ หรือกลุ่มที่รับยาสม่ำเสมอประสานเรียบร้อยแล้ว และ 3.กลุ่มโรคเรื้อรัง มีความจำเป็นต้องได้รับยาสม่ำเสมอ พยายามจัดหน่วยบริการภาครัฐเพื่อให้มีความเชื่อมั่น เบื้องต้นสามารถไปรับบริการได้ที่ศูนย์บริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานครในพื้นที่ทั้ง 69 แห่ง
"เรื่องนี้เป็นเรื่องเฉพาะเขตกรุงเทพมหานคร และไม่กระทบกับสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งทุกคนยังมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ เพียงแต่มีความผิดปกติเกิดขึ้นในหน่วยบริการพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทำให้จำเป็นต้องดำเนินทางกฎหมายในการฟ้องร้องและยกเลิกสัญญาการเป็นหน่วยบริการ ทำให้ไม่มีหน่วยบริการประจำ แต่คนที่ไม่ป่วยหากเกิดป่วยขึ้น สามารถไปรักษาที่หน่วยบริการในระบบบัตรทองที่ใดก็ได้ รวมถึงในจังหวัดรอบข้าง เช่น นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ โดยใช้บัตรประชาชน และไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่วนผู้ที่ต้องรับการรักษาต่อเนื่องนั้นได้มีการประสานจัดหาหน่วยบริการรองรับให้แล้ว ผู้ที่มีข้อสอบถามโทรได้ที่ 02-554-0500 อีก 80 คู่ สายตลอด 24 ชั่วโมง" นพ.ศักดิ์ชัย กล่าว
ด้าน นพ.การุณย์ คุณติรานนท์ รองเลขาธิการ สปสช.กล่าวว่า ประชากรที่ครอบคลุมในการยกเลิกสัญญาหน่วยบริการทั้ง 190 แห่งนั้น ราว 2 ล้านคน โดย 1.7 ล้านคน ไม่ได้กระทบอะไร เพราะฉะนั้นประชาชนที่ไม่ได้เจ็บป่วย ขอความกรุณาไม่ต้องรับไปลงทะเบียนใดที่หน่วยบริการ เพราะยังมีสิทธิบัตรทองอยู่เหมือนเดิม และเมื่อเจ็บป่วยไปใช้บริการที่ใดก็ได้ แต่หากเร่งไปลงทะเบียนที่หน่วยบริการ ทำให้ผู้ที่จำเป็นต้องรับบริการได้รับการบริการล่าช้า โดยอีกระยะหนึ่ง สปสช.จะประกาศหน่วยบริการให้เลือกหน่วยบริการประจำ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประกาศรับสมัครหน่วยบริการที่จะดำเนินการให้เสร็จภายในเดือน พ.ย.นี้ แต่หากต้องการตรวจสอบสิ่งต่างสามารถเข้าดูได้ที่เว็บไซต์ของ สปสช. www.nhso.go.th หรือเฟซบุ๊ก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี