“โง่,จน,เจ็บ” คือสามปัญหาหลัก ที่ยังเป็น “โจทย์” สำคัญสำหรับจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ทุกรัฐบาลที่ผ่านมา ยังไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้
“โง่” คือปัญหาของการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ผ่านมาแม้จะมีการแก้ไข แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นโดยตลอดทุกรัฐบาลที่ผ่านมา โดยเฉพาะ ซึ่งในยุคของ คสช. มีการใช้งบประมาณมากมายเพื่อการแก้ปัญหาการศึกษา จนมีการตั้งกระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้าขึ้น แต่สุดท้ายวันนี้ กระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้า ก็ไม่ได้แก้ปัญหาของการศึกษาได้ตรงประเด็น และนอกจากแก้ไม่ได้ ยังปล่อยให้มีการ “ทุจริต” มีการแสวงหาผลประโยชน์ จากงบประมาณ มีการ “เอาผิด” ทางกฎหมายมีการ “เอาผิด” กับเจ้าหน้าที่บุคลากรการศึกษาที่ยังคง “คาราคาซัง” จนถึงบัดนี้
มีการพูดกันทุกยุคทุกสมัยว่า ถ้าต้องการแก้ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เกิดขึ้นให้ได้ ต้องแก้ที่การศึกษา ต้องทำให้คน “ฉลาด” รู้เท่าทันคน จะได้ไม่ตกเป็นเครื่องมือของ “กลุ่มคนที่ไม่หวังดี” และคนที่ฉลาด จะสามารถ พัฒนาอาชีพ พัฒนาตนเอง และรวมพัฒนามาตุภูมิอย่างได้ผล
แต่สุดท้ายการแก้ปัญหาการศึกษาของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังอยู่ใน “วังวน” เก่าๆนั้นคือ แก้โดยหวังผลประโยชน์มากกว่าที่จะให้คน “โง่” กลายเป็นคนฉลาด เพราะสุดท้ายแล้ว แค่ปัญหาโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม รัฐก็ยังไม่สามารถควบคุมให้อยู่ในร่องในรอยได้ ในขณะที่ โรงเรียนของรัฐ กำลังหมดสภาพ ถูกยุบไปเรื่อยๆ เพราะไม่สามารถ แข่งขันกับโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา เพราะไม่มีการพัฒนาให้สอดคล้องกับวิถีวัฒนธรรมของคนในพื้นที่
“จน” นี่คือประเด็นสำคัญที่เป็นโจทย์ใหญ่สำหรับการแก้ปัญหาความมั่นคงของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ภาพของ พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ที่นำคณะเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มคน“เปราะบาง” หรือคนที่ยากจน ที่หมู่ 8 ต.ยะหาอ.ยะหา จ.ยะลา เมื่อหลายวันก่อน เป็นภาพที่ชัดเจนว่า ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ยังมีคนจนที่ช่วยตนเองไม่ได้อยู่เป็นจำนวนมาก
ซึ่งหากดูตัวเลขที่เรียกให้ “ไพเราะ” ไม่“แสลงหัวใจ” ว่าเป็นกลุ่มคนที่ “มีรายได้น้อย”ซึ่งก็คือ “คนจน” นั่นเอง ซึ่งเกณฑ์ของการเป็น“คนจน” คือ มีรายได้ปีละไม่เกิน 100,000 บาทหรือเดือนละ 8,200 บาท ซึ่งมีการสำรวจเมื่อปีที่ผ่านมา ใน จ.ยะลา 8 อำเภอ จ.นราธิวาส 13 อำเภอ และจ.ปัตตานี 12 อำเภอ รวมกัน 320,000 คน
เป็น 320,000 คนต่อประชากร 2,000,000 คนถือว่าเป็นจำนวนที่ไม่น้อยสำหรับแผ่นดินที่มีปัญหาเรื่องความมั่นคง เรื่องการแบ่งแยกดินแดนที่ยังมีเสียงปืน เสียงระเบิด และเกิดการสูญเสียอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นอุปสรรค สำหรับของหน่วยงานการพัฒนา ที่หน่วยงานในพื้นที่ มักจะอ้างมาตลอด 16 ปี ที่มีการก่อความไม่สงบว่า พื้นที่ไม่ปลอดภัย ไม่สามารถที่จะดำเนินการพัฒนาได้อย่างเต็มที่
และจากปัญหา “โควิด-19” ที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้ปัญหาของ “คนจน” เพิ่มมากขึ้น โดยมีตัวเลขจากหน่วยงานของรัฐ ที่ระบุว่า จากกรณี “โควิด-19” ทำให้คนว่างงานใน 3 จังหวัดเพิ่มขึ้นอีก 30,000 คน โดยมีผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศมาเลเซีย คนเหล่านี้ เป็นแรงงาน ในประเทศมาเลเซีย ที่ต้องเดินทางกลับบ้าน และ “ตกงาน” จงกลายเป็น “คนจน” อีกกลุ่มหนึ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมา
“เจ็บ” คือเรื่องของ “สุขอนามัย” หรือ“สาธารณสุข” ของคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งวันนี้ แม้จะมีโรงพยาบาลตำบล หรือที่เรียกว่า“รพ.สต.” เกิดขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่า จะสามารถ “รับมือ” กับความ “เจ็บป่วย” ของคนในพื้นที่ได้อย่างเต็มที่ คุณภาพชีวิตของคนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังอยู่ในสภาพที่“ย่ำแย่” กว่าคนในภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งเกิดจากความ“ยากจน” เกิดจากความเชื่อเรื่อง “ศาสนา”ที่ผิดๆ นั้นคือปัญหาข้อแรกที่มาจาก “โง่” หรือการศึกษาที่ไม่ได้ทำให้คนฉลาดขึ้น
เรื่อง “เจ็บ” วันนี้กำลังเป็นประเด็นใหญ่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะมีการพบว่า เด็กใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นโรค“เอธิโอเปีย” ทั้งที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่มีภาวะสงคราม ไม่มีการอดอยากเหมือนใน “เอธิโอเปีย” หรือใน “แอฟริกา” แต่เด็กๆ ใน 3 จังหวัดกลายเป็นโรค “เอธิโอเปีย” หรือโรคขาดสารอาหาร ซึ่งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ โรคขาดสาร “โปรตีน” นั่นเอง
และนอกจากโรคขาดสาร “โปรตีน” คนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังเป็นโรคต่างๆอีกมากมาย ที่กลายเป็นเครื่อง “บั่นทอน” คุณภาพชีวิตของผู้คนให้ตกอยู่ใน “วังวน” ของความ “ตกต่ำ”ของสังคมแห่งความ “โง่,จน,เจ็บ” ที่แท้จริง
เพราะจังหวัดชายแดนภาคใต้มีหน่วยงานที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบงานด้านพัฒนาอย่างศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ดังนั้นปัญหา “โง่,จน,เจ็บ” ถึงถูกตั้งคำถามว่า ศอ.บต. จะแก้อย่างไร ทั้งที่บางปัญหา เช่น เรื่องการศึกษา วันนี้ ก็ไม่ใช่หน้าที่หลักของ ศอ.บต.แล้ว เพราะมีกระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้า เป็นผู้รับผิดชอบ เช่นเดียวกับเรื่อง “เจ็บ” หรือเรื่องสุขอนามัยก็ไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของ ศอ.บต. แต่ ศอ.บต. ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องรับผิดชอบเพราะเป็นหน่วยงานหลัก ที่ทำหน้าที่เหมือนรัฐบาลท้องถิ่น ที่ต้องเป็น“ด่านหน้า” ในการรับมือกับทุกปัญหาทุกอุปสรรคที่เกิดขึ้นกับพื้นที่รับผิดชอบ โดยไม่สามารถปฏิเสธได้แม้แต่เรื่องเดียว
ดังนั้นในแต่ละวัน ถ้าติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของ ศอ.บต. จะเห็นว่า ทั้งตัวของเลขาธิการ รองเลขาธิการ ผู้ช่วยเลขาธิการ และผอ.สำนักต่างๆ ต้องลงพื้นที่ ในการขับเคลื่อนงานในทุกด้าน เช่น ช่วยเหลือเบื้องต้น กับกลุ่มเปราะบาง คนยากจน การผลักดันโครงการ สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้ความรู้ เพื่อให้เกิดการพัฒนาแผนใหม่ การส่งเสริมให้ความรู้กับกลุ่มต่างๆ การผลักดัน พื้นที่ปลอดภัย ให้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยว เพื่อสร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่
ซึ่ง พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กล่าวว่า ศอ.บต. ไม่สามารถที่จะ ปฏิเสธความรับผิดชอบ ความ
ทุกข์ร้อนของประชาชนในพื้นที่ได้ ที่ผ่านมาหลายปัญหามีความสำเร็จ เช่น การขับเคลื่อนการท่องเที่ยวใน อ.เบตง จ.ยะลา การสร้างอาชีพใหม่ให้กับเกษตรกรให้มีทางเลือกที่มากกว่าปลูกยางพารา และลองกอง การเกิดโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ๆ ในพื้นที่ ทำให้คนในพื้นที่ได้งานทำ โครงการ “สตาร์ทอัพ” เพื่อการสร้างอาชีพให้คนรุ่นใหม่ การส่งเสริมอาชีพให้กับคนที่ไม่มีงานทำ เพื่อสร้างอาชีพที่มีตลาดรองรับเช่น คนที่กลับจากมาเลเซีย เพื่อให้เขามีวิชาชีพ ที่จะกลับไปทำงานได้อีกครั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หลังมาเลเซียเปิดประเทศ
โดยเฉพาะคนที่ลงทะเบียนเป็นผู้มีรายได้น้อยจำนวน 320,000 คน นั้น วันนี้ ศอ.บต.มีแผนงานอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะลดจำนวนผู้มีรายได้น้อยให้ค่อยๆ ลดลง เราใช้ทุก “มิติ” ทุกวิธีการ ที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนเหล่านี้ให้ดีขึ้น ซึ่งหากไม่มีเรื่องของ “โควิด-19”เข้ามา “สอดแทรก” งานการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ คงจะขับเคลื่อนไปตามแผนที่วางไว้ ทั้งเรื่องการค้าชายแดน โดยการเชื่อมโยงด่านชายแดนทั้ง 9 ด่านให้ ขับเคลื่อนไปด้วยกันแต่เมื่อเกิดปัญหาอุปสรรคจาก “โควิด-19” ก็มีการปรับแผนการพัฒนา เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ที่นี่ ศอ.บต. เราทำงานเต็มที่ทำแบบไม่มีย่อท้อ ต่อปัญหา และอุปสรรค
ก็ได้แต่หวังว่า ปัญหา “โง่,จน,เจ็บ” ที่เกาะแน่นอยู่กับคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มานานแสนนาน แม้จะแก้ไม่ได้ทั้งหมดและแก้ไม่ได้อย่างรวดเร็ว แต่คนในพื้นที่ก็คาดหวังว่า ในยุคสมัยที่ พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เป็นเลขาธิการ ศอ.บต. ทุกปัญหาจะได้รับการแก้และจบลงที่คุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ต้องดีขึ้นกว่าเดิม
ปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี