‘จิสด้า’ปรับภารกิจ‘อวกาศ-ภูมิสารสนเทศ’  เสริมแกร่ง‘ไทย’อุตสาหกรรม-เศรษฐกิจอนาคต

‘จิสด้า’ปรับภารกิจ‘อวกาศ-ภูมิสารสนเทศ’ เสริมแกร่ง‘ไทย’อุตสาหกรรม-เศรษฐกิจอนาคต

วันจันทร์ ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563, 06.00 น.
Tag :

หากยังจำกันได้ ในปี 2554 ที่ประเทศไทยเกิด “มหาอุทกภัย” มวลน้ำไหลบ่าเข้าท่วมหลายจังหวัดนานนับเดือนไม่เว้นแม้แต่เมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ สิ่งหนึ่งที่คนไทยนำมาแชร์กันบนโลกออนไลน์กันเป็นรายวันคือ “ภาพถ่ายดาวเทียม” ว่าวันนี้มวลน้ำอยู่ที่ใดและไหลไปทางไหนแล้ว เช่นเดียวกับในช่วง 3-4 ปี ล่าสุดที่สังคมไทยตื่นตัวเรื่อง “ฝุ่นละอองขนาดเล็ก” ทั้ง PM10 และ PM2.5 ซึ่งหนึ่งในสาเหตุสำคัญมาจาก “ไฟป่า-การเผาในที่โล่ง” ก็จะมีผู้คนนำภาพถ่ายดาวเทียมแสดงจุดความร้อน (Hot Spot) หรือจุดที่เกิดเพลิงไหม้มาแชร์กันเป็นระยะๆ เสมอ

เมื่อพูดถึงภาพถ่ายดาวเทียม สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือที่หลายคนคุ้นหูกว่าในชื่อ “จิสด้า (GISTDA)” ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มักถูกยกขึ้นในฐานะแหล่งอ้างอิงข้อมูล เพราะเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบงานด้านนี้เพื่อติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม หากมองออกไปในระดับโลกที่มหาอำนาจหลายชาติกำลังแข่งขันกันช่วงชิงพื้นที่และทรัพยากรในห้วงอวกาศ จิลด้าเองก็ต้องปรับภารกิจเตรียมพร้อมด้วยเช่นกัน


“ตั้งแต่นี้ต่อไป เราต้องมองไปอีก 20 ปีข้างหน้าว่าโลกกำลังจะไปในทิศทางไหน หลายประเทศมหาอำนาจทางเทคโนโลยีอวกาศพยายามจะใช้ประโยชน์จากห้วงอวกาศมากยิ่งขึ้นในหลากหลายด้าน ทั้งเรื่องของการค้นหาที่อยู่ใหม่ ถิ่นฐานใหม่ ค้นหาทรัพยากรใหม่ให้กับมนุษย์โลก รวมถึงการใช้ประโยชน์ในด้านธุรกิจจากห้วงอวกาศ ทุกคนอาจจะเคยได้ยินคำว่าอวกาศเป็นของมนุษย์โลก เป็นของทุกๆ คนไม่ได้เป็นของประเทศใดประเทศหนึ่ง

ดังนั้นจิสด้าในฐานะองค์กรภาครัฐที่มีหน้าที่หลักในการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศของประเทศไทย มีหน้าที่จะต้องดูว่าโอกาสในการใช้พื้นที่จากอวกาศเป็นอย่างไรบ้าง โดยในอีก 20 ปีข้างหน้า จิสด้าได้วางเป้าหมายไว้ชัดเจน ซึ่งประการแรกต้องเน้นช่วยประเทศในการดูทิศทางของเทคโนโลยีอวกาศ ประการที่สองจะเป็นเรื่องของอวกาศและจีไอเอส (GIS-ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์) ที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน”

คำกล่าวของ ดร.ปกรณ์อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ถึงการปรับบทบาทของจิสด้าเพื่อรองรับอนาคตในอีก 20 ปีข้างหน้า ซึ่งสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการในขณะนี้ คือ 1.ศึกษาโอกาสทางธุรกิจ ต้องวิเคราะห์ว่าสามารถทำอะไรได้บ้างในเรื่องของอวกาศ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอวกาศ การลงทุน ความคุ้มค่า และต้องศึกษาถึงความเป็นไปได้ในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า รวมไปถึงการเตรียมความพร้อม การวางแผน และการดึงดูดพันธมิตรหน้าใหม่ในวงการอวกาศเพื่อสร้างความร่วมมือกันในอนาคต

2.สร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชน เพื่อให้ทราบถึงความสำคัญของเทคโนโลยีอวกาศว่าสามารถสร้างโอกาส สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยได้อย่างไรบ้าง ซึ่งการสร้างความตระหนักนี้เกิดจากบุคลากรที่สร้างขึ้นมาจากหน่วยงานภาครัฐที่ไปร่วมมือกับโครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา หรือ “THEOS-2” และจากผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ โดยจิสด้าจะเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมความร่วมมือ สร้างเครือข่ายผู้มีความรู้ด้านอวกาศให้มากที่สุดเพื่อที่จะกระจายองค์ความรู้เหล่านี้ไปสู่ท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

3.สร้างคน ซึ่งจะต้องเริ่มต้นจากระดับมัธยมศึกษาจนถึงมหาวิทยาลัยคิดค้นและพัฒนาหลักสูตรต่างๆที่เกี่ยวข้อง สามารถนำมาบูรณาการและต่อยอดได้ เช่น การเขียนโปรแกรมการสื่อสารระหว่างดาวเทียมกับบนพื้นโลก หรือความร่วมมือต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอวกาศ ซึ่งมีหลากหลายด้านที่จะต้องเตรียมตัวเพื่อรองรับอนาคตของประเทศไทย โดยปัจจุบันก็เริ่มเห็นหลักสูตรในระดับมัธยมศึกษา มีการบรรจุความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการสร้างดาวเทียมบ้างแล้ว

ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเน้นย้ำให้เนื้อหาหลักสูตรมีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น โดยระยะแรกไม่จำเป็นต้องเน้นวิชาการมากนักแต่ต้องเป็นหลักสูตรที่สามารถสร้างจินตนาการเพื่อให้เกิดเป็นแรงบันดาลใจได้ หรือมีแหล่งเงินทุนที่จะสนับสนุนให้เด็กๆ สามารถสร้างและประกอบดาวเทียมเองได้ เป็นต้น และ 4.การส่งเสริมการกำกับในภาครัฐภาคเอกชน และต่างประเทศ ที่ต้องการมาใช้ประโยชน์จากอวกาศในประเทศไทย ซึ่งในขณะนี้ก็มีการเตรียมการในการร่าง พ.ร.บ.กิจการอวกาศ ไว้อยู่แล้ว

“ร่าง พ.ร.บ.กิจการอวกาศ อยู่ระหว่างการเตรียมเสนอ ครม. (คณะรัฐมนตรี) เพื่อพิจารณา ซึ่งจะสามารถนำมาช่วยส่งเสริมในการกำกับการดำเนินงานในอนาคตได้ รวมถึงรองรับอุตสาหกรรมอวกาศและกิจการอวกาศที่จะเกิดขึ้นภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องและเตรียมรับมือกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอวกาศได้อีกด้วย” ดร.ปกรณ์ ระบุ

ผอ.จิสด้า กล่าวต่อไปว่า อีกไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะได้ใช้ประโยชน์จากระบบดาวเทียม THEOS-2 ตามที่ได้วางแผนไว้อย่างเต็มที่ โดยเน้นหนักในเรื่องของการนำระบบ THEOS-2 มาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด ทั้งในเรื่องของตัวดาวเทียม ภาพถ่ายดาวเทียม ระบบโครงสร้างพื้นฐานทั้งหลายที่เชื่อมโยงกับระบบ THEOS-2 ไม่ว่าจะเป็นอาคารประกอบและทดสอบดาวเทียม ระบบงาน ระบบรับสัญญาณ และอื่นๆ

จากนั้นเชื่อมโยงกับแอพพลิเคชั่นAIP (Actioable Intelligence PolicyPlatform) เพื่อช่วยให้เกิดการบูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายในอนาคตประกอบการดำเนินงานในเชิงพื้นที่ รวมถึงในขณะนี้ได้เตรียมการวางแผนทางด้านธุรกิจเพื่อให้บริการข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมในระดับนานาชาติ สร้างพันธมิตรในระดับนานาชาติ

สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือการสร้างคนควบคู่กันไปด้วย โดยเฉพาะบุคลากรที่ผ่านการฝึกอบรมในโครงการ THEOS-2 จากต่างประเทศจะต้องนำองค์ความรู้ต่างๆ มาต่อยอดและถ่ายทอดให้กับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในประเทศไทย โดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่มีความสนใจในด้านอวกาศได้มีความรู้ และเพิ่มทักษะในกระบวนงานด้านอวกาศมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมคนไทยในศตวรรษที่ 21

นอกจากภารกิจในประเทศไทยแล้ว จิสด้ายังมีความร่วมมือกับนานาชาติ เนื่องจากเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศไม่ใช่เทคโนโลยีที่ประเทศไทยคิดค้นขึ้นเอง เป็นเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา และเป็นเทคโนโลยีที่มีราคาสูง ดังนั้น ความร่วมมือ การแลกเปลี่ยนทรัพยากรผู้ที่มีองค์ความรู้ รวมไปถึงเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ จึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างมาก ที่จะช่วยให้ประเทศไทยก้าวหน้าไปสู่ระดับสากล

“ไม่ว่าจะเป็นระดับทวิภาคี หรือระดับองค์กร ฟอรั่ม (Forum) ต่างๆ เราให้ความสำคัญทั้งหมด ประเทศไทยของเรามีจุดเด่นหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นลักษณะทางภูมิศาสตร์ของประเทศที่ดีที่สุดในอาเซียน (ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) เศรษฐกิจที่ดี บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศอื่นๆ ดังนั้นจิสด้าจึงตั้งเป้าที่จะเป็นผู้นำและแกนหลักที่จะผลักดันในเรื่องนี้ เพื่อให้ยืนหนึ่งในภูมิภาคอาเซียนให้ได้ จากนั้นภายใน 3-5 ปี เราจะขยับไปในระดับเอเชียและนานาชาติให้ได้เช่นกัน” ดร.ปกรณ์ กล่าว

ผอ.จิสด้า กล่าวทิ้งท้ายว่า นอกจากการพัฒนาขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศของประเทศไทยแล้ว จิสด้ายังมุ่งขยายกลุ่มผู้ใช้งานเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศไปสู่ภาคสังคม ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมให้มากยิ่งขึ้นรวมทั้งพัฒนารูปแบบข้อมูลและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานในกลุ่มต่างๆตลอดจนทำหน้าที่ส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ผลักดัน Co-creation ในทุกภาคส่วนบนพื้นฐานของความโปร่งใสตรวจสอบได้

เพราะ ณ วันนี้ เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัว แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญให้กับประเทศในการสร้างและพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมใหม่ นำไปสู่การจ้างงานสร้างรายได้ให้กับประชาชนคนไทย เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประเทศไทยในช่วง 10-20 ปีข้างหน้า!!!

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top