ผมคิดว่า เมื่อเอ่ยถึงตำบลชื่อ “ป่าสะแก”ของอำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี เบื้องต้นคงมีน้อยคนนักที่จะรู้จักหรือคุ้นหู ทั้งนี้เพราะกิตติศัพท์ไม่ได้เกิดจากชื่อของตำบล หากแต่เป็นของคนมีชื่อเสียงบางคนที่เกิดที่นั่น แต่เด่นดังขจรขจายไปในที่อื่น โดยอาจไม่มีใครทราบว่าจริงๆ แล้ว เขาคือสมาชิกของชุมชนป่าสะแกซึ่งผมจะได้กล่าวเล่าให้ท่านผู้อ่านต่อไปครับ
ชุมชนตำบลป่าสะแก ตั้งอยู่ริมคลองกระเสียว ห่างจากตัวอำเภอเดิมบางนางบวช ประมาณ 16 กิโลเมตร ในสมัยอดีต ก่อนที่จะมีการแยกจัดตั้งอำเภอด่านช้าง เมื่อเดินทางออกจากตัวตลาดอำเภอเดิมบางนางบวช ไปทางทิศตะวันตกเพียง 8 กิโลเมตร ก็จะถึงขอบชายป่า ปัจจุบันเป็นชุมชนเล็กๆ เรียกว่าบ้านปากดง นั่นหมายถึงดินแดนหลังจากนั้นเป็นต้นไปจนสุดเขตจังหวัดและต่อด้วยป่าเขาเขตกาญจนบุรีนั้น เป็นพื้นที่ที่มีชุมชนอาศัยอยู่ท่ามกลางป่าดงและขุนเขา จะมีเพียงตำบลป่าสะแกเท่านั้นที่เป็นตลาดค้าขายสินค้าอุปโภคบริโภคและมีความเจริญรุ่งเรือง เป็นแหล่งที่ผู้คนที่อาศัยในป่าดงหลังจากนั้นไปต้องการเดินทาง
มาซื้อข้าวซื้อของเครื่องใช้ หรือไม่ก็ส่งบุตรหลานเข้ามาเรียนหนังสือหนังหากัน เด็กบางคนไม่มีบ้านญาติอยู่ ก็ได้อาศัยเป็นลูกศิษย์วัด เช่น วัดป่าสะแก วัดดอนมะเกลือ วัดขวางเวฬุวัน รวมทั้งวัดสระเมืองท้าว ตลอดจนวัดใกล้เคียง
ชาวตำบลป่าสะแกประกอบไปด้วยชน3 เผ่า คือ ไทย ลาว และจีน คนเก่าคนแก่เล่าให้ฟังว่า เดิมมีคนชาวลาวซี ลาวครั่งถูกกวาดต้อนจากประเทศลาวในต้นยุครัตนโกสินทร์มาตั้งถิ่นฐานร่วมกับคนไทยดั้งเดิมที่ป่าสะแก อาศัยกันเป็นกลุ่มก้อน ทำอาชีพหลักคือ ทอผ้า (ปัจจุบันเป็นสินค้าโอท็อประดับชาติ) แต่ที่น่าฉงนคือเหล่าคนจีน ซึ่งปกติแล้วเวลาอพยพมาตั้งถิ่นฐาน มักจะสร้างที่อยู่อาศัยเป็นชุมชนใหญ่ริมเส้นทางแม่น้ำไหลผ่าน และในย่านนี้กลุ่มคนจีนได้ขึ้นฝั่งตั้งชุมชนใหญ่ติดแม่น้ำท่าจีน และพัฒนาเป็นตลาดท่าช้างหรือชื่อเป็นทางการ คือ อำเภอเดิมบางนางบวช แต่กระนั้น ได้มีคนจีนบางกลุ่มที่ไม่ได้หยุดอาศัยอยู่เพียงแค่ตลาดท่าช้าง ทว่าเดินทางเลยลึกเข้าป่าไปจนถึงชุมชนดั้งเดิมป่าสะแก ที่ฟังชื่อแล้วย่อมคาดเดาได้ว่า น่าจะเป็นป่าที่เต็มไปด้วยต้นสะแก แต่ก็มีทำเลเส้นทางน้ำไหลผ่านเช่นกัน คือคลองกระเสียว ที่ต้นน้ำมาจากเทือกเขาทางทิศตะวันตกแล้วไหลไปลงสู่แม่น้ำท่าจีน ปัจจุบันต้นคลองห่างออกไปประมาณ 30 กิโลเมตร ได้มีการสร้างเป็นเขื่อนกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ ชื่อว่าเขื่อนกระเสียว ซึ่งเป็นที่ตั้งของอำเภอใหม่ที่ตั้งในภายหลัง คือ อำเภอด่านช้าง นั่นเอง
จากการที่ได้มีคนเชื้อสายจีนมาอาศัยอยู่ป่าสะแกเป็นจำนวนมาก ทำให้ต่อมาได้แต่งงานอยู่กินกับลูกสาวคนลาว และคนไทยปะปนกันไป (คุณยายชวดของผม มีลูก 7 คน เป็นลูกสาว 4 คน แต่งงานกับคนจีนเรียบ) ที่สำคัญคือช่วยให้ชุมชนป่าสะแกได้มีการพัฒนาให้เป็นแหล่งการค้าพาณิชย์แห่งที่ 2 ของอำเภอ รองจากตลาดท่าช้าง มีการตั้งบ้านเรือนรูปทรงเฉพาะที่สวยงามแปลกแตกต่างจากคนไทยลาวที่อยู่อาศัยแต่เดิม เช่น บ้านไม้สองชั้นทรงปั้นหยา ชั้นบนมีลูกกรงล้อมเดินได้รอบบ้าน บ้านไม้สามชั้นที่พบเห็นได้ยากมาก รวมทั้งบ้านเพิงชั้นเดียวที่สร้างติดต่อกันเป็นห้องแถวขายของทุกชนิด เช่น ร้านตัดเสื้อผ้า ร้านชำ รวมไปจนถึงร้านทำทอง ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะตั้งอยู่ได้ในป่าดงได้ มีร้านกาแฟที่คนสูงอายุมานั่งกินตอนเช้า ส่วนตอนสายถึงเย็นขายกาแฟ หรือโอเลี้ยงเย็นใส่น้ำแข็งทุบลงในกระป๋องนมเก่าที่เจาะร้อยหิ้วด้วยเชือกกล้วย ส่วนน้ำแข็งหมกเก็บรักษาสภาพด้วยแกลบ มีแม้กระทั่งโรงฆ่าหมูที่ชำแหละตอนเช้ามืดแล้วตระเวนส่งลูกค้าที่สั่งไว้ล่วงหน้าโดยห่อด้วยใบตองผูกเชือกกล้วยแขวนไว้หน้าบ้าน
ลักษณะพิเศษอีกอย่างของป่าสะแก คือสภาพพื้นที่ราบลุ่มเป็นแหล่งทำนาที่สำคัญ ซึ่งในสมัยก่อนที่จะสร้างเขื่อนกระเสียว ทุกปีในฤดูฝนจะมีน้ำหลากไหลบ่าท่วมที่นา พาปุ๋ยอินทรีย์มาบำรุงต้นข้าวให้งอกงาม สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ จนกระทั่งมีโรงสีข้าวเครื่องจักรไอน้ำแห่งแรกในละแวกนี้ สีข้าวส่งไปยังอำเภอและจังหวัด โดยรถจิ๊ปรุ่นเก่าวิ่งเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ปัจจุบันยังเห็นอนุสรณ์ปล่องโรงสีตั้งสูงตระหง่าน ท้าทายจินตนาการย้อนอดีตของคนรุ่นเก่าที่เกิดในยุคนั้น
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
chanpithya@apterr.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี