29 พฤศจิกายน 2563 ความคืบหน้าคดีพบศพนางสาวมาลี สามา อายุ 50 ปี สาวใหญ่พนักงานร้านคาราโอเกะใน อ.นาทวี จ.สงขลา ถูกฆ่าหมกพงหญ้า ริมถนนสายคูศักดิ์สิทธิ์-อ่าวนาว พื้นที่หมู่ 5 ต.คู อ.จะนะ และพบศพเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 26 พ.ย.63 โดยคาดว่าเป็นฝีมือของนายชลิต แก้วนุ่น อายุ 50 ปี สามี ที่ไปรับออกจากร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ม.4 ต.นาทวี อ.นาทวี เมื่อกลางดึกของคืนวันที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งตำรวจกำลังอยู่ระหว่างติดตามตัวมาสอบสวนนั้น
ข่าวเพิ่มเติม : ล่าผัวต้องสงสัย! ฆ่าเมียสาวคาราโอเกะหมกพงหญ้า ทะเลาะกันบ่อยเรื่องเงิน
ล่าสุดวันที่ 29 พ.ย.63 ทางเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัว นายชลิต สามี ซึ่งตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ได้แล้ว หลังใช้เวลาสืบสวนแกะรอยอยู่ราว 2 วัน โดยทางเจ้าหน้าที่ 3 หน่วย ทั้งชุดสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา ชุดสืบสวนคดีความมั่นคง ตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา และ ชุดสืบสวน สภ.จะนะ นำโดย พล.ต.ต.อาชาน จันทร์ศิริ ผบก.ภ.จว.สงขลา พ.ต.อ.ดุสิต พรหมสิน ผกก.สส.ภ.จว.สงขลา พ.ต.อ.พชรพล ณ นคร ผกก.สภ.จะนะ และพ.ต.ท.วีระศักดิ์ เดชประมวล รอง ผกก.สส.สภ.จะนะ ได้แกะรอย และสามารถติดตามจับกุมได้ในพื้นที่ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร เมื่อช่วงประมาณ 4 โมงเย็นวานนี้(28พ.ย.) ขณะนั่งรถตู้เดินทางออกจาก อ.เมือง จ.สงขลา ปลายทาง จ.บึงกาฬ ก่อนที่จะควบคุมตัวกลับมายัง สภ.จะนะ พื้นที่เกิดเหตุ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา และทำการสอบสวน
จากการสอบสวนนายชลิต ให้การรับสารภาพว่า เป็นผู้ก่อเหตุจริง โดยให้การสั้นๆเพียงว่า ทำไปเพราะบันดาลโทสะ รวมทั้งความหึงหวงผู้ตายที่เป็นพนักงานร้านคาราโอเกะ ชอบหายไปนานหลายๆวัน ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน และหึงหวงกลัวว่าจะชายอื่นมาติดพัน จึงคิดที่จะหาทางแก้
โดยในเกิดเหตุเมื่อช่วงดึกวันวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา ได้ขับรถจักรยานยนต์ไปที่ร้านคาราโอเกะดังกล่าว และดื่มกินกับผู้ตาย ก่อนที่จะพาผู้ตายกลับบ้านพักด้วยกันในพื้นที่ ม.10 ต.น้ำขาว อ.จะนะ แต่ระหว่างทางก่อนถึงบ้านนั้น กำลังจะแวะไปยังบ้านของหมอผีหรือหมอไสยศาสตร์ที่อยู่ใกล้กัน เพื่อให้ผู้ตายกินน้ำมนต์และทำพิธีทางไสยศาสตร์เพื่อความสบายใจ และให้ผู้ตายรักหลงตน ไม่นอกใจ กลับมาอยู่กินกับตนเหมือนเดิม
แต่ปรากฏว่า ก่อนถึงบ้านหมอผีราว 2 กิโลเมตร ตรงจุดเกิดเหตุที่พบศพ ทั้งคู่ได้เกิดมีปากเสียงทะเลาะกัน และผู้ตายได้คว้ามือซ้ายของนายชลิต มากัดถูกเข้าที่หัวแม่มือ จึงเกิดการใช้กำลังกันขึ้น และนายชลิต ได้ใช้มีดพกที่ติดตัวมาด้วยปาดคอผู้ตาย 1 ครั้ง แล้วแทงเข้าที่หัวอีก 1 ครั้ง หลังจากนั้นได้กระหน่ำแทงตามร่างกายอีกหลายแผล ด้วยความบันดาลโทสะ
ก่อนที่จะทิ้งศพไว้ในพงหญ้าข้างทาง แล้วขับรถพามีดไปทิ้งในลำคลองบ้านต้นไทร ห่างจากจุดเกิดเหตุราว 1 กิโลเมตร และขับรถกลับบ้านพักในพื้นที่ ม.10 ต.น้ำขาว ที่ห่างออกไปราว 10 กิโลเมตร พร้อมกับนำกระเป๋าสะพายของผู้ตายไปเผา และนำเสื้อผ้าของตนเองที่เปื้อนเลือดไปซัก และอยู่บ้านทำตัวเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
กระทั่งหลังจากนั้นเมื่อมีชาวบ้านไปพบศพ และกลายเป็นข่าวดังเมื่อช่วงวันที่ 26 พ.ย.ที่ผ่านมา จึงตัดสินใจเดินทางออกนอกพื้นที่ โดยหนีไปกบดานอยู่ที่บ้านเพื่อนในพื้นที่ อ.เมืองสงขลา อยู่ 2 วัน และวานนี้(28พ.ย.)ในช่วงเช้า จึงตัดสินใจขึ้นรถตู้ออกจาก จ.สงขลา เพื่อเดินทางหลบหนีไปหาเพื่อนอีกคนที่ จ.บึงกาฬ เพื่อกบดานต่อที่นั่น แต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่สืบทราบ และตามมารวบตัวได้ในสุด ขณะกำลังลงจากรถตู้ที่ จ.ชุมพร
ทั้งนี้หลังการสอบสวนแล้วเสร็จ ทางตำรวจได้พา นายชลิต ผู้ต้องหาไปชี้จุด และทำแผนประกอบคำรับสารภาพยังจุดเกิด ทั้งในจุดที่พงหญ้าข้างทางในพื้นที่ ม.5 ต.คู พร้อมกับให้จุดธูปขอขมาศพ ซึ่งนายชลิต ได้ขมาผู้ตาย พร้อมกับก้มลงกราบและน้ำตาซึม และไม่ยอมพูดอะไร ก่อนที่จะพาต่อไปยังคลองบ้านต้นไทร ที่เป็นจุดโยนมีดพกลงคลอง และไปที่บ้านพักในพื้นที่ ม.10 ต.น้ำขาว ซึ่งข้างบ้านพบจุดที่ใช้จุดไฟเผากระเป๋าสะพายของผู้ตาย และยึดเสื้อผ้าที่ใช้สวมใส่ในวันเกิดเหตุ
พร้อมกับพานายชลิต ไปทำการขอขมาศพของผู้ตายที่ทางญาติตั้งบำเพ็ญกุศลเอาไว้ที่วัดประดู่หมู่ ม.2 ต.ฉาง อ.นาทวี ด้วย แต่ก็หวิดโดนลูกชาย 2 คน ของผู้ตาย เข้าทำร้ายแก้แค้น แต่โชคดีที่เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ และรีบนำตัวนายชลิต กลับโรงพักในทันที เบื้องต้นได้แจ้ง 2 ข้อหา คือฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและปิดบังซ้อนเร้นศพ นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.จะนะ ดำเนินคดีต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี