น้ำท่วมภาคใต้ในปีนี้ แม้ปัจจุบันสถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายลง หลายพื้นที่เข้าสู่สภาพปกติแล้วก็ตาม แต่ก็มีเรื่องที่จะต้องนำมาถอดบทเรียนแก้ไขโดยเฉพาะน้ำท่วมที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และอีกหลายจังหวัดที่สถานการณ์รุนแรงมากที่สุดในรอบหลายสิบปี
จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญของภาคใต้ตอนกลาง ตัวเมืองเป็นพื้นที่ราบ อยู่ใกล้ชิดกับเขาหลวงที่มีลักษณะสูงชัน ดังนั้นหากเกิดฝนตกหนักบริเวณเขาหลวง น้ำจะไหลกระจายลงสูงตัวเมืองผ่านทางคลองหลัก เช่น คลองท่าดี คลองป่าเหล้า คลองท่าซัก คลองคูพาย คลองสวนหลวง และคลองหน้าเมือง ก่อนที่จะไหลออกสู่ทะเล
คลองเหล่านี้ มีศักยภาพสามารถรับน้ำได้รวมกันประมาณ 268 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่ในปีนี้ฝนตกหนักมากตั้งแต่วันที่ 26 พ.ย.2563-2 ธ.ค.2563 รวมปริมาณฝนที่ตกลงในลุ่มน้ำที่จะไหลลงสู่ตัวเมืองนครศรีธรรมราช มีปริมาณมากกว่า 800 มิลลิเมตร (มม.) ทำให้มีปริมาณน้ำเกินขีดความสามารถที่คลองต่าง ๆ จะรับได้ เฉพาะที่คลองท่าดี สูงสุดถึง 689 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จึงทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ดังล่าว
พายุฝนที่กระหน่ำภาคใต้ในปีนี้ ไม่ได้ทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมเฉพาะที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเท่านั้น ยังส่งผลให้มีน้ำท่วมอีกหลายจังหวัด เช่น จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี พัทลุง ตรัง และสงขลา เป็นต้น แต่พื้นที่ที่น่าจะนำมาเป็นแบบอย่างใช้แก้ปัญหาน้ำท่วมได้อย่างยั่งยืนคือ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ที่ปีนี้น้ำไม่ท่วมเลย ทั้งๆ ที่ได้รับอิทธิพลจากพายุฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันไม่ต่างจากพื้นที่อื่นๆ ของภาคใต้
ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ(กอนช.) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา กอนช. ได้ประเมินพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย เพื่อเตรียมความพร้อมเชิงป้องกัน พบว่า อิทธิพล ของปรากฏการณ์ลานีญ่า จะทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนัก มีพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยในช่วงเดือน ธ.ค. 2563 - ม.ค. 2564 บริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออก ตั้งแต่ จ.ชุมพร ถึง จ.สงขลา แบ่งเป็น เดือนธ.ค. 2563 จำนวน 13 จังหวัด 107 อำเภอ609 ตำบล โดยเฉพาะ จ.สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลาพร้อมทั้งได้มีการแจ้งเตือนอย่างต่อเนื่อง และเหตุการณ์ก็เป็นจริงอย่างที่คาดการณ์ไว้ จนเกิดภาวะน้ำท่วมครั้งใหญ่ในหลายพื้นที่
รวมทั้งที่ อ.หาดใหญ่ นั้นปีนี้ฝนตกหนักไม่ต่างจากพื้นที่อื่นๆของภาคใต้แต่น้ำไม่ท่วม เพราะมี “โครงการบรรเทาอุทกภัยอำเภอหาดใหญ่อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” ในการช่วยบรรเทาปัญหาน้ำท่วม แม้ขณะนี้จะแล้วเสร็จเพียงระยะที่ 1 เท่านั้นแต่ก็ช่วยให้ อ.หาดใหญ่ รอดพ้นจากวิกฤตน้ำท่วมภาคใต้ในปีนี้ได้
“ขณะนี้กรมชลประทานอยู่ในระหว่างดำเนินการโครงการฯในระยะที่ 2 โดยการปรับปรุงคลองภูมินาถดำริ (คลองระบายน้ำสายที่ 1) จากเดิมสามารถระบายน้ำได้ 465 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพิ่มเป็น 1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และเมื่อระบายน้ำร่วมกับคลองอู่ตะเภาในอัตรา 465 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จะสามารถเพิ่มศักยภาพในการระบายน้ำได้สูงสุดรวมกันประมาณ 1,665 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที นอกจากนี้ยังมีการก่อสร้างประตูระบายน้ำหน้าควน 2 พร้อมทั้งได้ทำการขุดขยายความกว้างของคลองระบายน้ำจากเดิมท้องคลองกว้าง 24 เมตร ขยายเป็น 70 เมตร และก่อสร้างกำแพงคอนกรีต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำออกสู่ทะเลสาบสงขลาให้เร็วขึ้น เมื่อแล้วเสร็จปัญหาน้ำท่วม อ.หาดใหญ่ แทบจะไม่เกิดขึ้นเหมือนในอดีตอย่างแน่นอน” เลขาธิการ สทนช. กล่าว
อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืนจะต้องดำเนินการครบวงจรเต็มศักยภาพตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ซึ่งตามแผนในระยะยาวของโครงการบรรเทาอุทกภัยอำเภอหาดใหญ่อันเนื่องมาจากพระราชดำรินั้น ได้มีการศึกษาเบื้องต้นในการพัฒนาพื้นที่ต้นน้ำด้วยการสร้างแหล่งเก็บกักน้ำขนาดกลางจำนวน 7 แห่ง เพื่อตัดยอดน้ำ และกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง ประกอบด้วย โครงการอ่างเก็บน้ำคลองหวะ (ตอนบน) ความจุ 6.40 ล้าน ลบ.ม. โครงการปรับปรุงพรุพลีควาย ความจุ 2.50 ล้าน ลบ.ม. โครงการอ่างเก็บน้ำคลองโตนงาช้าง ความจุ12.03 ล้าน ลบ.ม. โครงการอ่างเก็บน้ำคลองต่ำ ความจุ 25.22 ล้าน ลบ.ม. โครงการอ่างเก็บน้ำคลองตง ความจุ 26.00 ล้าน ลบ.ม. โครงการอ่างเก็บน้ำคลองหล้าปัง ความจุ 35.50 ล้าน ลบ.ม. และ โครงการอ่างเก็บน้ำคลองลำ ความจุ 20.52ล้าน ลบ.ม. ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสม เพื่อเลือกแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพและมีผลกระทบน้อยที่สุด ตลอดจนสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในพื้นที่
ย้อนมาดูที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ลักษณะภูมิประเทศแม้จะไม่เหมือนกับหาดใหญ่ แต่ก็มีลักษณะใกล้เคียงกัน ซึี่งนครศรีธรรมราชก็มี “โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” เช่นเดียวกับที่ อ.หาดใหญ่ แต่โครงการยังไม่สามารถขับเคลื่อนให้แล้วเสร็จตามแผนงานได้ เพราะติดปัญหาด้านมวลชน มีประชนชนส่วนหนึ่งยังคัดค้านการดำเนินโครงการ ซึ่งตามแผนงานเดิมจะแล้วเสร็จภายในปี 2563 จึงถูกเลื่อนออกไป พร้อมให้กรมชลประทานทำความเข้าใจกับราษฎรผู้ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการ เพื่อที่จะเร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามเป้าหมาย
โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ประกอบด้วยงานสำคัญๆ คือ การขุดคลองระบายน้ำสายใหม่ จำนวน 3 สาย สามารถระบายน้ำได้ 650-750 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาที พร้อมกับปรับปรุงคลองวังวัว และคลองหัวตรุด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการระบายน้ำเป็น 850 ลบ.ม.ต่อวินาที และ 100 ลบ.ม.ต่อวินาทีตามลำดับ เมื่อแล้วเสร็จจะสามารถบรรเทาอุทกภัยในเขตเมืองนครศรีธรรมราชและลดพื้นที่น้ำท่วมได้ประมาณร้อยละ 90 ครอบคลุม 12 ตำบล มีประชาชนได้รับประโยชน์ 32,253 ครัวเรือน และยังสามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งได้ประมาณ 5.5 ล้าน ลบ.ม. มีพื้นที่ได้รับประโยชน์ 17,400 ไร่
เหตุการณ์น้ำท่วมนครศรีธรรมราชที่เกิดขึ้นในปีนี้ น่าจะเป็นกระจกสะท้อนให้หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้กลับไปร่วมกันทบทวนว่า ควรจะเร่งขับเคลื่อนดำเนินโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราชฯหรือไม่? หรือจะปล่่อยให้เกิดน้ำท่วมสร้างความเสียหายที่นับวันยิ่งจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นต่อไป
นอกจาก 2 โครงการที่กล่าวไปข้างต้น พื้นที่อื่นๆ ในภาคใต้ยังมีโครงการบรรเทาอุทกภััย อีกหลายโครงการที่กำลังดำเนินการ หากแล้วเสร็จ ปัญหาน้ำท่วมในเมืองสำคัญๆ จะบรรเทาลงอย่างแน่นอนไม่ว่าจะเป็น โครงการระบบระบายน้ำแม่น้ำตรัง เป็นการขุดคลองผันน้ำเพื่อบรรเทาอุทกภัยที่เกิดจากปริมาณน้ำท่วมในเขตอำเภอเมืองพื้นที่ใกล้เคียงและพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากของจังหวัดตรัง คาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2565 โครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยเมืองชุมพรอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ระยะที่ 2 ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินงาน หากแล้วเสร็จจะช่วยลดปัญหาอุทกภัยให้ชุมชนที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มน้ำคลองชุมพรอย่างยั่งยืน ช่วยเหลือประชาชนได้ 16,802 ครัวเรือน และแก้ไขปัญหาน้ำท่วมถนนสายเอเชีย 41แยกปฐมพร) ซึ่งเป็นเส้นทางสายหลักในการสัญจรจากภาคกลางสู่ภาคใต้ และยังเป็นแหล่งน้ำสำรองที่สามารถเก็บกักน้ำไว้ในระบบเพื่อใช้ในฤดูแล้งได้อีกประมาณ 6.5 ล้าน ลบ.ม. เพิ่มประสิทธิ ภาพในการบริหารจัดการน้ำให้เกิดพื้นที่รับประโยชน์อีก 6,875 ไร่
นอกจากนี้ ยังมีแผนงานโครงการเพื่อบรรเทาปัญหาน้ำท่วมในอนาคต เช่น โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำคลองท่าทอง-คลองคราม จ.สุราษฎร์ธานี โครงการระบบระบายน้ำพื้นที่ชุมชนเมืองนครศรีธรรมราช ระยะที่ 2 โครงการคลองระบายน้ำ คลองละงู-คลองน้ำเค็ม จ.สตูล โครงการแก้มลิงบ้านท่ามะปราง จ.ตรัง โครงการบรรเทาอุทกภัยและภัยแล้ง คลองพังดาน-พังโย จ.พัทลุง และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบระบายน้ำ คลองสะบ้าย้อย จ.สงขลา ซึ่งต้องดำเนินการด้านการเตรียมความพร้อมด้านวิศวกรรมและเสนอของบประมาณต่อไป
เลขาธิการ สทนช.กล่าวด้วยว่า ในพื้นที่ภาคใต้ไม่ใช่จะประสบปัญหาด้านน้ำเพียงแค่ปัญหาน้ำท่วมเท่านั้น ในฤดูแล้งหลายพื้นที่ยังประสบปัญหาภัยแล้งเช่นเดียวกับภูมิภาคอื่นๆ จึงได้มีการวางแผนแก้ไขปัญหา โดยดำเนินโครงการสร้างแหล่งเก็บกักน้ำอีกหลายโครงการโดยในปี 2564-2566 มีโครงการพัฒนาแหล่งเก็บกักน้ำ รวม 63 โครงการ วงเงิน 23,300 ล้านบาท สามารถเพิ่มความจุได้ 194 ล้าน ลบ.ม.และมีพื้นที่รับประโยชน์ถึง 264,000 ไร่ และมีโครงการที่ยังคงติดปัญหาด้านมวลชน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการอ่างเก็บน้ำวังหีบอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.นครศรีธรรมราช หากได้ดำเนินการจะสามารถเก็บกักน้ำได้ 20 ล้าน ลบ.ม. พื้นที่รับประโยชน์ 13,014 ไร่ ครอบคลุม 24หมู่บ้าน ใน 4 ตำบล ของ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช และโครงการอ่างเก็บน้ำบ้านเหมืองตะกั่วอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.พัทลุง หากได้ดำเนินการจะสามารถเก็บกักน้ำได้ 10.14 ล้าน ลบ.ม. พื้นที่รับประโยชน์ 7,500 ไร่ ครอบคลุม 2,090 ครัวเรือน ในพื้นที่ในเขต อ.ป่าบอนจ.พัทลุง ปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ในระหว่่างการสร้างการรับรู้ร่วมกับประชาชนในพื้นที่ เพื่อที่จะหาทางออกในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน
บทเรียนจากน้ำท่วมในครั้งนี้กับโครงการต่างๆที่รัฐบาลกำลังขับเคลื่อน น่าจะพอมีความหวังได้ว่าปัญหาน้ำภาคใต้กำลังจะถูกแก้ไขอย่างยั่งยืน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี