สปสช.แนะอปท.ทั่วประเทศ ดึงกลไก"กปท."ป้องกันและควบคุมแพร่ระบาด"โควิด-19" หนุนดำเนินงานใน5กิจกรรม "รณรงค์ให้ความรู้-จัดหาอุปกรณ์ป้องกัน-คัดกรองกลุ่มเสี่ยง-ตรวจเยี่ยมติดตามกลุ่มเสี่ยง-เฝ้าระวังผู้มาจากพื้นที่อื่น" พร้อมเผยภาพรวมมี"อปท."ร่วมดำเนินโครงการป้องกันโควิด-19แล้วกว่า2หมื่นโครงการ
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2563 นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ด้วยกลไกต่างๆ และด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั่วประเทศ รวมถึง "กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น" (กปท.) ที่เป็นความร่วมมือระหว่าง สปสช.และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดในภาพรวมของประเทศสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ไม่เกิดการแพร่ระบาดที่แพร่กระจายเป็นวงกว้างและรุนแรง
ทั้งนี้ จากข้อมูลการดำเนินงาน กปท.ในการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 (ณ วันที่ 8 ธันวาคม 2563) มี กปท.ร่วมดำเนินโครงการกรณีโควิด-19 ทั้งหมด 20,811 โครงการ เป็นงบประมาณทั้งสิ้น 1,015.41 ล้านบาท แยกเป็นการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2563 ซึ่งมี กปท.5,195 แห่ง ที่ร่วมจัดทำโครงการป้องกันโควิด-19 จำนวน 19,994 โครงการ เป็นงบประมาณ 989 ล้านบาท และในปีงบประมาณ 2564 (1 ต.ค. - 8 ธ.ค.63) มี กปท.394 แห่ง ที่ร่วมจัดทำโครงการป้องกันโควิด-19 เป็นจำนวน 817 โครงการ งบประมาณ 26.41 ล้านบาท โดยดำเนินงานใน 5 กิจกรรม ได้แก่ 1.การรณรงค์ให้ความรู้ป้องกันตามแนวทางกรมควบคุมโรค 2.การจัดหาอุปกรณ์ป้องกัน เช่น หน้ากากอนามัย หน้ากากผ้า แอลกอฮอล์ เจลล้างมือ เทอร์โมมิเตอร์วัดไข้ เป็นต้น 3.การคัดกรองกลุ่มเสี่ยง 4.การตรวจเยี่ยมติดตามกลุ่มเสี่ยงในชุมชน และ 5.ติดตามเฝ้าระวังผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่อื่น โดยโครงการเหล่านี้ได้กระจายไปในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยง และได้ช่วยสนับสนุนการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 ตามผลที่ปรากฎ
นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า สำหรับในส่วนของการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นนี้ รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงท้องถิ่นต่างๆ ได้เร่งมาตรการป้องกันและควบคุมแล้ว โดยในครั้งนี้ อปท.ที่ร่วมจัดตั้งกองทุน กปท.ยังคงสามารถใช้กลไกในพื้นที่นี้ เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาโควิด-19 ได้เช่นเดียวกัน ตามประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์เพื่อสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินงานและบริหารจัดการระบบหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ พ.ศ.2561 ในข้อ 10 (5) ที่ระบุว่า เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมกิจกรรมกรณีเกิดโรคระบาดหรือภัยพิบัติในพื้นที่ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาสาธารณสุขได้ตามความจำเป็น เหมาะสม และทันต่อสถานการณ์ได้ ซึ่งขณะนี้ สปสช.ได้จัดสรรงบ กปท.ปี 2564 รอบแรกให้กับ อปท.แล้วจำนวน 6,910 แห่ง เป็นงบประมาณจำนวน 2,226.07 ล้านบาท โดย อปท.สามารถจัดทำโครงการต่างๆ เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาโควิด-19 ในพื้นที่ได้
ทั้งนี้ เพื่อให้ อปท.สามารถดำเนินโครงการเร่งด่วนเพื่อทันต่อสถานการณ์การแพร่ระบาด ที่ผ่านมาบอร์ด สปสช. ได้เห็นชอบให้มีการแก้ไขประกาศกองทุน กปท.โดยเพิ่มเติมข้อความที่ให้อำนาจประธานกรรมการ กปท.ในการอนุมัติโครงการหรือกิจกรรมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาสาธารณสุขกรณีเกิดการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อได้ตามความจำเป็นไม่เกิน 100,000 บาทต่อโครงการ โดยให้ถือว่าเป็นโครงการหรือกิจกรรมที่คณะกรรมการกองทุนอนุมัติ โดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ลงนามประกาศฯ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563
นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวต่อว่า การดำเนินโครงการ กปท.ในสถานการณ์เร่งด่วนขณะนี้ อปท.หลายแห่งอาจไม่มั่นใจในกฎระเบียบและกังวลการถูกตรวจสอบภายหลัง ที่ผ่านมาในการเสวนา "ใช้งบกองทุนสุขภาพท้องถิ่นอย่างไร เพื่อช่วยต้านภัยโควิด-19 อย่างมีประสิทธิภาพ" สปสช.ได้เชิญ นายประจักษ์ บุญยัง ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มาร่วมให้ข้อมูลและได้ให้ความมั่นใจว่า การดำเนินการนี้มีเป้าหมายเดียวกันตรงตามวัตถุประสงค์คือให้ประชาชนมีความปลอดภัยจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หากมีเจตนาบริสุทธิ์ในการช่วยเหลือประชาชนให้ดำเนินการได้เลย ไม่ต้องกังวลใดๆ สตง.จะเฝ้าระวังในกรณีที่มีเจตนาทุจริต หาผลประโยชน์ หรือกอบโกยในช่วงสถานการณ์วิกฤติเท่านั้น นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ สตง.ในทุกจังหวัดทั่วประเทศพร้อมให้คำปรึกษากับหน่วยงานต่างๆ ที่มีข้อสงสัยในการปฏิบัติงานท่ามกลางสถานการณ์ที่มีโรคระบาดที่ต้องจำเป็นเร่งด่วน เพื่อให้ความมั่นใจต่อหน่วยงานต่างๆ ในการดำเนินงานช่วยเหลือประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี