6 ม.ค. 2564 นายเอกก์ ภทรธนกุล อาจารย์ภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวในประเด็นสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ กรณีที่มีการถกเถียงกันในสังคมว่ารัฐบาลควรประกาศล็อกดาวน์หรือไม่ เพราะหากล็อกดาวน์แล้วจะได้จัดงบประมาณมาเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบด้วย ว่า เรื่องนี้เหมือนคำถามไก่กับไข่ ด้านหนึ่งถ้าไม่ประกาศล็อกดาวน์ การออกมาตรการรวมถึงการจ่ายเงินเยียวยาก็จะเป็นเรื่องยากกว่าการประกาศล็อกดาวน์
แต่อีกด้านหนึ่ง การประกาศล็อกดาวน์จะทำให้ธุรกิจบางอย่างทำไม่ได้ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคก็จะยิ่งหายไป ซึ่งหากผู้บริโภคไม่มีความเชื่อมั่นย่อมไม่อยากใช้จ่าย เรื่องนี้เป็นความสมดุลที่ต้องระมัดระวัง เพราะไม่ได้อยู่ที่เพียงการจ่ายล็อกดาวน์แล้วเยียวยาได้ การเยียวยาเป็นเพียงมาตรการระยะสั้นเท่านั้น เช่น มาตรการเราไม่ทิ้งกัน ที่จ่ายเดือนละ 5,000 บาท ก็ได้เพียง 2-3 รอบ แต่ในฝั่งเศรษฐกิจมหภาคนั้นรับคำว่าล็อกดาวน์ไม่ได้ หากได้ยินคำว่าล็อกดาวน์ ความเชื่อมั่นลูกค้าหายไปมากๆ หรือพอเวลา 3-4 ทุ่มก็ทำอะไรต่อไม่ได้แล้ว เรื่องการค้าจะหายไปอีกมหาศาล
“วันนี้มันมี Balance (สมดุล) หลายฝ่าย ขณะนี้เราคุยกันถึงเศรษฐกิจธุรกิจเองก็ตาม แต่บางทีปุ่มล็อกดาวน์อาจจะไม่ได้อยู่ฝั่งเศรษฐกิจธุรกิจเพียงอย่างเดียว ปุ่มล็อกดาวน์อยู่ที่สาธารณสุขค่อนข้างมาก แล้วคนที่มีอำนาจ Convince (โน้มน้าว) ค่อนข้างมากในกรณีนี้ก็คงจะเป็นทีมแพทย์ คือท้ายที่สุดก็เป็นเช่นนั้นเอง คือ Balance ในหลายมุมมาก ในเศรษฐกิจด้วยกันเองก็ต้อง Balance แถมยังต้อง Balance ระหว่างเศรษฐกิจกับมุมอื่นๆ ที่กำลังมีเรื่องกันอยู่ นักเศรษฐศาสตร์บอกอย่าล็อกเลย หมอก็บอกล็อกเถอะจะได้เจ็บแต่จบ” นายเอกก์ กล่าว
นายเอกก์ กล่าวต่อไปว่า ต้องยอมรับว่ามาตรการเยียวยาเป็นนโยบายระยะสั้นซึ่งได้ผลในระดับหนึ่ง แต่มาตรการระยะสั้นต่างๆ ก็มีข้อควรระวัง การออกนโยบายระยะสั้นควรทำแต่ต้องมีนโยบายระยะยาวควบคู่กันด้วย ซึ่งวันนี้ตนเป็นห่วงเรื่องนโยบายเลื่อนจ่ายภาษี โดยในปี 2563 จากเดิมที่จ่ายเดือน มี.ค. มีการเลื่อนให้จ่ายในเดือน ส.ค. แล้วในปีนี้จะเลื่อนอีกหรือไม่ รวมถึงนโยบายเลื่อนการชำระหนี้สินต่างๆ เช่น บ้าน รถยนต์ ฯลฯ ด้วยที่เริ่มมีเสียงเรียกร้องอยากให้เลื่อนอีกแล้ว ซึ่งทั้งหมดนี้สุ่มเสี่ยงเกิดผลกระทบกับระบบการเงินในประเทศไทย
ดังนั้นตนจึงฝากข้อคิดถึงผู้ประกอบการ ว่า ขอให้คิดเสียว่านโยบายช่วยเหลือของรัฐเป็นเพียงของขวัญ เพราะการรอความหวังให้ภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลือต่างๆ หมายถึงการนำธุรกิจไปผูกไว้กับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เนื่องจากผู้ประกอบการไม่สามารถควบคุมรัฐได้ ผู้ประกอบการทำได้เพียงดูแลลูกค้า ระมัดระวังคู่แข่ง และสร้างโอกาสทางธุรกิจ หารูปแบบใหม่ๆ ทางธุรกิจเท่านั้น
ขณะที่ปัจเจกชนหรือบุคคลทั่วไป แนะนำว่า 1.รักษาความน่าเชื่อถือ (Credit) ให้ดี ใครมีเงินอยู่แล้วพอจะปิดบัญชีหนี้สินได้ก็ให้ชำระหนี้ให้ครบถ้วนเรียบร้อย อย่ายืมเงินใครแล้วเบี้ยวหนี้ เพราะหากเกิดเหตุฉุกเฉินจริงๆ ชีวิตจะไม่มีทางออก 2.เก็บเงินสด (Cash) เอาไว้ สิ่งของอะไรที่มีอยู่แล้วไม่จำเป็นจริงๆ ต่อชีวิต ขายได้ก็จงขาย เอาเงินสดมาเก็บไว้กับตัวก่อนดีกว่า
3.สร้างความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง (Collaboration หรือ Colleague) จงระมัดระวังอารมณ์ของตนเอง และการมีเพื่อนเป็นเรื่องสำคัญ เพราะบางครั้งคนเราก็ต้องการการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังช่วยในเรื่องธุรกิจด้วย 4.ลดต้นทุนของการใช้ชีวิต (Cost) กิจกรรมหรือการบริโภคใดๆ ที่ไม่จำเป็นก็จงลดลงบ้าง และ 5.รักษาสุขอนามัย (Clean) หรือการรักษาความสะอาด อนึ่ง แม้รัฐจะออกนโยบายต่างๆ เพื่อหวังกระตุ้นการใช้จ่ายให้มีเงินเข้าไปหมุนในระบบเศรษฐกิจ แต่ก็มีคำว่าสมดุลอยู่กับด้านของการใช้จ่ายของปัจเจกชนหรือบุคคลทั่วไป
“ใช้จ่ายแต่ไม่เกินตัว ผมคิดว่ามันมี Balance ของมันอยู่พอสมควร การใช้จ่ายคือไม่ใช่ใช้จ่ายน้อยจนไม่จ่าย การให้ระมัดระวังการใช้ Cost ไม่ได้หมายความว่าเลิกใช้ เลิกกินข้าว ไม่ใช่ไม่ต้องไปเที่ยว ถ้าสมมติว่ายังอยากรักษาความสัมพันธ์ในครอบครัว รักษาความสัมพันธ์กับเพื่อน ก็ช่วยดูข้ออื่นด้วย ที่บอกว่ามีเรื่องของ Cost เป็น 1 ใน 5 ข้อเท่านั้น กรุณาทำให้ครบทั้ง 5 ข้อ โดยเฉพาะข้อของ Collaboration ช่วยมีเพื่อน มีความสัมพันธ์กับคนอื่นด้วย เพราะฉะนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าห้ามใช้เสียทีเดียว” นายเอกก์ กล่าวในท้ายที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี