โพสต์เดียวเปลี่ยนชีวิต หลัง “นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ออกมาโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า กทม. มีงบประมาณสะสมปลอดภาระผูกพันสูงถึง 53,568 ล้านบาท พร้อมแนะให้นำเงินจากภาษีประชาชนที่ยังไม่ได้ใช้ มาจ่ายค่าวัคซีนโควิด-19 ให้คนละ 2 โดส 8,000 ล้านบาท เพื่อรับภาระแทนประชาชน ก็เลยฉุดคิดขึ้นว่า ถ้า กทม. มีเงินหลายหมื่นล้านขนาดนี้ เหตุใดถึงบอกว่า ไม่มีเงินจ่ายหนี้ “บีทีเอส” ต้องรอให้มีการขยายสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวฯ
ทั้งนี้โพสต์ของนายชัชชาติ โพสต์เดียวดังกล่าว ทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า สถานะทางการเงินของ กทม. ย้อนแย้งกับคำบอกกล่าว ที่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ออกมาพูดก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะการกระทุ้งรัฐบาล ให้รีบต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้กับ “บีทีเอส” ระยะเวลา 30 ปี แลกกับหนี้สินที่ กทม.ก่อขึ้น พร้อมหยิบยกว่า ประชาชนจะได้ใช้ค่าโดยสารในอัตรา 65 บาทตลอดสาย ทั้งที่ควรจะถูกกว่านั้น
ล่าสุด พล.ต.อ.อัศวิน ยังให้ข่าวเพิ่มเติมว่า หากยังไม่ต่อสัญญานี้ อาจมีการเก็บค่าโดยสารส่วนต่อขยายในเพดานสูงสุดถึง 158 บาทในวันที่ 16 ก.พ. เป็นต้นไป
สำหรับเหตุผลที่ กทม. ถูกมองว่า ดื้อดึงจะให้รัฐบาลขยายสัมปทานให้กับ “บีทีเอส” โดยอ้างว่า กทม.ติดหนี้บีทีเอส ในส่วนของค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต เป็นเงินกว่า 8,000 ล้านบาท ซึ่งกทม.ไม่มีเงินจ่าย และหากไม่รีบต่อสัญญาสัมปทาน บีทีเอส จะฟ้องทวงหนี้ และขู่หยุดวิ่งรถ
จากการพยายามให้รัฐบาลขยายสัมปทานดังกล่าวของ กทม.นั้น ยิ่งมีคำถามและข้อสงสัยหลายเรื่อง อาทิ สัญญาสัมปทานเดิมสิ้นสุดปี 2572 ยังมีระยะเวลาเหลืออีกราว 9 ปี แล้วทำไมจึงต้องเร่งรีบต่อสัญญาขยายสัมปทาน นอกจากนี้ เหตุใดถึงต้องใช้คำสั่งหัวหน้า คสช. ตาม ม.44 ซึ่งในคำสั่งมีข้อยกเว้น พ.ร.บ.การร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน เท่ากับเอื้อประโยชน์ในการต่อสัปทาน เป็นการ “ผูกขาด” และ “เอื้อประโยชน์” ให้กับบีทีเอสใช่หรือไม่ ผนวกกับมติของสภาผู้แทนราษฎร ที่ไม่ให้ต่อขยายสัมปทานจนกว่าสัมปทานจะหมด และเปิดให้มีการประมูลแข่งขันอย่างเป็นธรรม ซึ่งทำให้การใช้ ม.44 จึงเท่ากับ ไม่เคารพมติของสภาฯ
ไม่เพียงเท่านั้น ราคาค่าโดยสารที่ผูกติดกับสัญญาสัมปทานใหม่ ที่กำหนดไว้ที่ 65 บาท เหมาะสมและเป็นธรรมหรือไม่ เมื่อเทียบกับคนกรุงเทพที่มีรายได้ขั้นตํ่าวันละ 331 บาท ทั้งที่สามารถกำหนดให้ราคาถูกลงได้ สอดคล้องกับแนวทางกับกรมการขนส่งทางราง และกระทรวงคมนาคม ที่ประเมินว่า ราคาค่าโดยสารสามารถต่ำกว่าราคา 65 บาทได้อย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน สัญญาสัมปทานเก่า เมื่อสืบเสาะข้อมูลแล้ว พบว่า เป็นการหนี พ.ร.บ. ร่วมทุนฯ โดยใช้บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (KT) จ้างบีทีเอสเดินรถ โดยในขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบอยู่ในชั้นสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งควรจะรอให้คดีพิพาทสิ้นสุดก่อนหรือไม่ แล้วเหตุใด กทม.ถึงยังจะต่อขยายสัมปทานให้กับบีทีเอสอีก หนำซ้ำยังอ้างว่า ดำเนินการตาม ม.44 และให้ถือว่าทุกอย่างเป็นไปตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ
เมื่อย้อนดูโพสต์ของนายชัชชาตินั้น ใจความบางช่วงบางตอนระบุว่า ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 มาตรา 89 กำหนดให้กรุงเทพมหานคร มีหน้าที่ในการดำเนินกิจการในเขตกรุงเทพมหานครในเรื่องต่างๆรวม 27 เรื่อง โดยรวมถึงข้อ (16) การสาธารณสุข การอนามัยครอบครัวและ การพยาบาล
ขณะเดียวกันปี 2563 กทม.ประมาณการรายได้ไว้ที่ 83,000 ล้านบาท และเมื่อดูจากสถานะการเงินในรายงานของสำนักงานผู้ตรวจเงินแผ่นดิน เมื่อสิ้นเดือนกันยายน 2562 กทม. มีเงินสะสมปลอดภาระผูกพันสูงถึง 53,568 ล้านบาท (จริงๆแล้วก็คือเงินภาษีที่เก็บมาจากประชาชนที่ยังไม่ได้ใช้)
กทม. มีประชากรตามทะเบียนประชากรประมาณ 5.6 ล้านคน ถ้ารวมคนที่เข้ามาทำงานด้วยอีกประมาณสองล้านกว่าคน รวมแล้ว 8 ล้านคน ถ้าเราจะฉีดวัคซีนโควิดให้ทุกคน คนละ 2 โดส ที่ราคา 1,000 บาทต่อคน จะใช้งบประมาณ 8,000 ล้านบาท ซึ่ง กทม.มีเงินสะสมมากพอที่จะรับภาระแทนประชาชนได้ทันที
... ยังคงเป็นเรื่องราวที่ต้องหาคำตอบต่อไป สรุปแล้ว กทม. มีงบประมาณตามที่ “ชัชชาติ” โพสต์ไว้จริงหรือไม่ หรือจริงๆ แล้ว กทม.ถังแตก?...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี