ในสถานการณ์ของการควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ผมเห็นรถบรรทุกตระเวนขายสินค้าจำพวกอาหารไปตามแหล่งชุมชนต่างๆ มากขึ้น ซึ่งช่วงนี้รถเร่ขายส้มจะมีมาให้เห็นมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส้มสายน้ำผึ้ง มีตั้งแต่ 3 กิโลกรัม 100 บาท 4 กิโลกรัม 100 บาท หลายไซส์ หลายขนาดขณะเดียวกันยังมีส้มอีกบางประเภทที่มีราคาต่างไปจากส้มที่กล่าวถึง วางขายตามแผงผลไม้ข้างทาง หรือ แม้แต่ตามรถเร่เหล่านั้น เมื่อสอบถามว่าทำไมส้มเหล่านี้ราคาแพงกว่า มีทั้ง 3 กิโลกรัม 200 บาท หรือ กิโลกรัมละ 70-90 บาท ได้ความว่าส้มเหล่านี้ เป็นส้มโชกุนจากจังหวัดยะลาจึงมีราคาแตกต่างจากส้มสายน้ำผึ้งของจังหวัดเชียงใหม่
ย้อนไปเมื่อตอนที่ผมไปเมืองน่าน ซึ่งเป็นพื้นที่แหล่งต้นน้ำลำธาร และกลายเป็นแหล่งปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในปัจจุบัน ในอดีตนั้นผลไม้ที่ขึ้นชื่อของเมืองน่านแต่ดั้งเดิม คือ ส้ม ผมพยายามหาแหล่งส้มน่านที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันก็ยังหาไม่พบ พรรคพวกแวะซื้อส้มจากตลาดในเมืองน่านมารับประทาน แม่ค้าก็บอกว่าเป็นส้มสายน้ำผึ้งจากเชียงใหม่ เมื่อผมกลับเข้ามาในกรุงเทพฯ ส้มสายน้ำผึ้งจากเชียงใหม่ก็ตามมาเช่นกัน ในราคาที่ไม่แพงเลย เมื่อเทียบกับคุณภาพและรสชาติ เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของคนรักส้มอย่างแท้จริง แต่คงเป็นช่วงเวลาที่ไม่ค่อยดีนักสำหรับคนปลูกส้มหากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ปีนี้นับว่าส้มสายน้ำผึ้งราคาตกต่ำลงมามากจนน่าใจหาย ราคาที่ผู้บริโภคจ่ายยังถูกขนาดนี้ไม่อยากคิดว่าราคาต้นทางที่คนปลูกส้มได้รับจะเป็นราคาเท่าใด คุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ยิ่งเป็นไม้ผล ยิ่งต้องใช้ระยะเวลาและต้นทุนในการดูแลรักษามากเป็นพิเศษ
สาเหตุหนึ่งที่ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ส้มสายน้ำผึ้งออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก เนื่องจากปกติในช่วงตรุษจีน ความต้องการส้มจะเพิ่มมากขึ้นเป็นพิเศษ ชาวสวนส้มจึงพยายามทำให้ผลผลิตออกมาในช่วงเวลาดังกล่าวสำหรับปีนี้จะด้วยสภาพดินฟ้าอากาศมีความเหมาะสมหรืออย่างไร ผลผลิตจึงออกมาก่อนช่วงเวลาตรุษจีนเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อความต้องการขายมากกว่าความต้องการซื้อ ราคาจึงลดต่ำลงเป็นธรรมดาของกลไกการตลาด
เมื่อพิจารณาถึงแผนปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจที่ภาคเกษตรเป็นส่วนหนึ่งของแผนดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แผนปฏิรูปประเทศฉบับปรับปรุงหลังจากประเทศได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 โดยกำหนดให้ใช้แผนฉบับปรับปรุงดังกล่าวในช่วงปี 2564-2565 มีประเด็นที่น่าเป็นห่วงและสอดคล้องกับสิ่งที่ผมที่พบเห็นกรณีส้มราคาถูกที่กล่าวถึง เพราะส้มไม่ใช่อาหารพื้นฐานเหมือนข้าวที่ต้องรับประทานทุกวัน ซึ่งส้มถูกจัดให้เป็นไม้ผลในกลุ่มพืชมูลค่าสูง ภายใต้แนวคิดการปฏิรูปประเทศให้เปลี่ยนจากการปลูกพืชเกษตรมูลค่าต่ำมาเป็นพืชเกษตรมูลค่าสูง แนวคิดดังกล่าวถ้าจะปรับพื้นที่ที่ใช้ปลูกข้าว สร้างความมั่นคงทางอาหารและรายได้ให้เกษตรกรมายาวนาน มาเป็นพืชเกษตรมูลค่าสูงเช่นส้มตามที่จัดกลุ่มไว้ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องลงทุนตั้งแต่วันแรกที่ปลูกจนกว่าจะถึงวันที่เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ อย่างน้อยต้องใช้เวลา 3-4 ปี ประเด็นเรื่องทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก และเมื่อให้ผลผลิตแล้ว มาเจอกับสถานการณ์ของผลผลิตและราคาตลาดตามที่กล่าวมาข้างต้น จะเกิดอะไรขึ้นกับเกษตรกรผู้ปลูกส้มที่ต้องปรับพื้นเปลี่ยนที่ ลงทุนในการพัฒนาเป็นสวนส้ม โดยที่ไม่มีสิ่งใดเป็นหลักประกันความเสี่ยง ประเด็นของตลาด ความต้องการของผู้บริโภค ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งมีสินค้าอื่นๆ ที่พร้อมจะเป็นสินค้าที่ทดแทนกันได้
ดังนั้น การวางแนวทางโดยเปลี่ยนพืชเกษตรภายใต้แนวคิดเป็นเกษตรมูลค่าสูงในขณะที่ไม่สามารถกำจัดตัวแปร และความเสี่ยงต่างๆ ที่จะส่งผลกระทบต่ออาชีพของเกษตรกรได้ สุดท้ายแล้ว การปฏิรูปประเทศด้านนี้คงไม่พ้นความล้มเหลว หรือหากพอจะไปได้ก็ไม่อาจบรรลุเป้าหมายสูงสุดได้ ในส่วนตัวผมจึงเห็นว่าการเกษตรมูลค่าสูง ควรให้ความสำคัญกับการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรมากกว่าการปรับเปลี่ยนชนิดพืชเท่านั้น รวมไปถึงการสร้างความมั่นใจต่อคุณภาพ มาตรฐาน และความปลอดภัยของสินค้าเกษตร ตลอดจนสร้างสมดุลระหว่าง Demand และ Supply ซึ่งคงไม่มีใครสามารถให้คำตอบที่แน่ชัดได้ในประเด็นความสมดุลของ demand และ Supply ที่สุดแล้วคงไม่แคล้วเกินภาวะ Supply ล้นในบางช่วงเวลาเช่นเดิม ขึ้นกับว่าจะมีความสามารถในการบริหารจัดการอย่างไรให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด
สมชาย ชาญณรงค์กุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี