“หมอยง” ยันไทยเลือกวัคซีนบริษัท Astrazeneca เป็นทางเลือกสายกลาง
วันที่ 20 มกราคม 2564 ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงข่าวถึงกรณีวัคซีนโควิด-19 ในประเด็นเปรียบเทียบว่าวัคซีนบริษัท Astrazeneca กับบริษัทซิโนแวกซ์ ตัวไหนดีกว่ากัน นั้น ขออธิบายถึงวิธีการผลิตวัคซีนโควิดในปัจจุบัน ชนิดที่ 1 ที่ขึ้นทะเบียนนำมาใช้ได้ก่อนเพื่อนที่นำมาใช้หลายประเทศตะวันตก คือวัคซีนที่ผลิตจากmRNAใช้รหัสพันธุกรรมของตัวไวรัสRNA มาห่อหุ้มด้วยนาโนพาติเคิ้ลเป็นตัวนำเข้าไปฉีดเข้าสู่เซลล์มนุษย์ แล้วสั่งให้ร่างกายสร้างโปรตีนที่มีหนามแหลมเหมือนของเชื้อไวรัส เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี้มาคอยปกป้องร่างกายไม่ให้ไวรัสมาเกาะเซลล์ร่างกายเราได้ ซึ่งวัคซีนของกลุ่มนี้ไม่ว่าจะเป็นของบริษัทไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา เป็นวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูงที่ยังไม่เคยมีการใช้ในมนุษย์มาก่อนเลย
กลุ่มที่2. ไวรัสเวคเตอร์ของบริษัท Astrazeneca ที่ประเทศไทยกำลังจะนำเข้ามา นอกจากนี้ก็ยังมี“สปุกนิกไฟว์”ของประเทศรัสเซีย และอีก1บริษัทที่ไทยไม่ได้ติดต่อ คือบ.แคนไซโน ของประเทศจีน ที่ใช้ไวรัสเวกเตอร์ การผลิตคล้ายชนิดที่ 1 วิธีการโดยการเอาRNSมาฝากไว้ให้กับไวรัส ซึ่งใช้adenovirus แล้วฉีดไวรัสนำเข้าสู่เซลล์มนุษย์โดยใช้adenovirusเป็นตัวนำเข้าสู่ร่างกาย แทนที่จะเป็นนาโนพาติเคิล
อย่างไรก็ตามadenovirus เป็นไวรัสที่ถูกทำหมัน ไม่สามารถออกลูกออกหลานเพิ่มจำนวนได้อีก จึงทำร้ายร่างกายเราไม่ได้ซึ่งเคยมีการใช้วัคซีนชนิดนี้ในการป้องกันอีโบลา ฉีดให้กับประชากรของแอฟริกาหลายแสนคนมาแล้ว ซึ่งบริษัท Johnson & Johnson ก็ใช้ไวรัสชนิดนี้ผลิตนั้น ยังอยู่ระหว่าง การศึกษาระยะที่ 3 แต่มีความแตกต่างกับ Astrazeneca แม้ใช้ adenovirus แต่บริษัทจอห์นสันใช้adenovirus ที่ไม่ได้ถูกทำหมัน โดยทางบริษัทให้เหตุผลข้อดีว่าสามารถฉีดเข้าร่างกายเพียงครั้งเดียวแล้วไวรัสแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้หาย จึงไม่ต้องฉีดซ้ำหลายเข็ม ซึ่งวัคซีนตัวใหม่ต้องมีการทดลองหลายครั้งอย่างถี่ถ้วนเสียก่อนจึงจะอนุมัติให้ใช้ได้ ดังนั้น ประเทศไทยเลือกสายกลางบ.Astrazenecaที่ทดลองใช้ในคนแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีวัคซีนเชื้อตายมีการผลิตใช้กว่า 70 ปีแล้ว คือโรคโปลิโอ ตับอักเสบเอ พิษสุนัขบ้า ที่ใช้เพาะเชื้อไวรัสขึ้นมาจำนวนมาก แล้วทำให้เชื้อตายก่อนที่จะใส่สารกระตุ้นภูมิต้านทานก่อนนำมาฉีดเข้าร่างกายคนเพื่อสร้างภูมิต้านทาน แต่วัคซีนชนิดนี้ต้องฉีด2-3 ครั้งขึ้นไป แต่การผลิตวัคซีนจากเชื้อตายที่ต้องเพาะเชื้อขึ้นมาจำนวนมาก ซึ่งเชื้อโควิดเป็นเชื้อที่น่ากลัว แต่หากเพาะเชื้อขึ้นมาเพิ่มจำนวนเป็นหลายเท่าก่อนจะทำให้เชื้อตายเพื่อนำไปสู่ขั้นตอนการผลิตวัคซีนนั้น จะทำให้ห้องเพาะเลี้ยงเชื้อเป็นห้องชีวนิรภัยระดับสูงทำให้นักวิจัยอันตรายมากต้องใส่ชุดอวกาศทำงานเพื่อป้องกัน จากวิธีการผลิคดังกล่าว จึงทำให้ราคาสูงกว่าวัคซีนที่ผลิตจากmRNAหรือไวรัสเวคเตอร์ แต่ข้อดี คือเป็นวัคซีนรุ่นเก๋า ที่เพาะเลี้ยงเหมือนเชื้อพิษสุนัขบ้าที่เรารู้จักกันดี ซึ่งเมื่อเชื้อตายแล้วเมื่อมีการแบ่งตัวของเชื้อจึงไม่ก่อโรค รวมทั้งการศึกษาผลอาการข้างเคียงก็ง่ายกว่า ดังนั้น ขณะนี้ประเทศไทยจึงเลือกไวรัสเวคเตอร์ของบ.Astrazeneca ที่ผลิตได้ในโรงงานจำนวนมากและง่าย ไม่ก่อโรค ไม่ต้องใช้เชื้อก่อโรคและต่อไปจะมีราคาถูก นอกจากนี้สามารถใช้ได้ทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม วัคซีนโควิด-19 เป็นที่น่าสนใจของทั่วโลก เพราะว่าวัคซีนไม่มีเพียงพอ ผู้ซื้อในบางครั้งแม้จะมีเงินแต่ก็ไม่สามารถหาวัคซีนได้ตามเป้าหมาย ถ้ามีคนต้องการวัคซีน 50% จากประชากรโลก 7,000 ล้านคน มันก็มีความต้องการกว่า 4,000 ล้านคน หรือเท่ากับ 8,000 ล้านโด๊ส จึงเป็นไปไม่ได้เลยถ้าในปีนี้ที่จะสรรหาวัคซีนได้เพียงพอ ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีความต้องการวัคซีน แต่มีหลายคนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับวัคซีน โดยเฉพาะการคิดค้นวัคซีนจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนตั้งแต่เริ่มที่สัตว์ทดลอง หนู ไปจนถึงลิง เมื่อผ่านความปลอดภัยมีภูมิคุ้มกัน ก็จะไปขออนุญาตสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เข้ามาสู่การทดลองในมนุษย์โดยมีทั้งหมด 3 ระยะ ระยะที่ 1 ศึกษาความปลอดภัยในมนุษย์ ระยะที่ 2 วัคซีนมีผลในการกระตุ้นภูมิต้านทานได้จริง ระยะที่ 3 ศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีน
นพ.ยง กล่าวอีกว่า โดยในอดีตถ้าเป็นวัคซีนในยามปกติเราก็ให้วัคซีนทั้งกลุ่มที่ให้วัคซีน แล้วกลุ่มที่ให้วัคซีนหลอก หลังจากนั้นจึงติดตามเป้าหมายอาจจะเป็น 1 ปี หรือ 2 ปี แล้วค่อยมาดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่ในยามที่มีโรคระบาดแบบนี้เราจะรอใช้กำหนดเวลาสิ้นสุดการวิจัยไม่ได้ จึงใช้วิธีการกำหนดทั้งในกลุ่มการศึกษา และกลุ่มที่เปรียบเทียบ หรือใช้วัคซีนหลอก ถ้าทั้ง 2 กลุ่มมีผู้ป่วยเกิดขึ้นตามเป้าหมายเช่น ถ้ามีผู้ป่วยเกินขึ้น 100 คนให้เปิดรหัสดูเบื้องต้นว่าอยู่ในกลุ่มไหน และถ้าครบ 160 คนแล้วก็ถือว่าสิ้นสุดการทดลองระยะแรก สามารถเปิดโค๊ดดูได้ในระยะแรกเพื่อที่ขออนุมัติ จึงไม่แปลกที่เมื่อยามเกิดโรคระบาด หลังฉีดวัคซีนในเฟสที่ 3 จะใช้เวลาแค่ 2-3 เดือน เขาก็เปิดรหัส เนื่องจากมีผู้ป่วยที่เกิดขึ้นตามเป้าหมาย เมื่อเปิดรหัสดูแล้ว จะรู้ว่ากลุ่มควบคุมมีผู้ที่ติดโรคกี่คน กลุ่มที่ฉีดวัคซีนจริงเป็นโรคกี่คน แล้วมาหารเปรียบอัตราส่วนของการป้องกันโรคว่าป้องกันได้กี่เปอร์เซ็นต์
“โรคทุกโรค แม้กระทั่งโควิด-19 เป็นได้ตั้งแต่ไม่มีอาการ ไปจนถึงมีอาการรุนแรง โดยแต่ละวัคซีนตั้งเป้าหมายไม่เหมือนกัน ดังนั้นเมื่อเราพิจารณาประสิทธิภาพของวัคซีน ก็จะมีเปอร์เซ็นต์ที่แตกต่างกันเล็กน้อย แล้วแต่ใครกำหนดคนิยามของการติดโรค เมื่อผ่านระยะนี้ไปแล้ว การศึกษาถือว่ายังไม่สิ้นสุด จะต้องดำเนินต่อไป อาจจะเป็น 6 เดือน ถึง 1 ปี แต่อย่างไรก็ตามโรคระบาดรอไม่ได้ เมื่อการศึกษามีการเปิดโค๊ดออกมาแล้วว่าประสิทธิผลในการป้องกันโรคได้จริง ถึงแม้การศึกษาในระยะที่ 3 ยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ก็สามารถยื่นต่อ อย. ขอใช้ในภาวะฉุกเฉิน โดยอย.จะต้องชั่งน้ำหนักดุว่าเมื่อให้วัคซีนไปแล้วมีผลดีกว่าไม่ฉีด ก็จะยอมให้ใช้ในภาวะฉุกเฉินเพื่อป้องกันโรคก่อน ขณะเดียวกันต้องรอผลการศึกษาต่อไป ถ้ามีความคืบหน้าก็จะยื่นสมทบให้กับอย. เพื่อดูว่าถ้าทุกอย่างมีความสมบูรณ์แบบ ก็อนุญาตให้ใช้ในภาวะปกติ” นพ.ยง กล่าว
นพ.ยง กล่าวเพิ่มเติมว่า กลุ่มคนที่จะได้รับการฉีดวัคซีนจะต้องติดตามผลอย่างน้อย 2 ปี ซึ่งถ้ามีอะไรผิดปกติ จะต้องรายงานให้กับอย. และบริษัทผู้ผลิต เพื่อประเมินว่าวัคซีนมีผลข้างเคียงอย่างไร เพราะวัคซีนใช้เวลาคิดค้นในเวลาเพียงแค่ 1 ปี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี