"โฆษกศาลยุติธรรม"แจ้งให้ศาลชั้นต้นเลื่อนคดีได้ตลอดเดือนก.พ. ช่วงโควิดระบาดระลอกใหม่ พร้อมเสริมจุดบริการ"One Stop Service - Drive Thru" ย้ำเตือนการ์ดต้องไม่ตก ทุกคนร่วมป้องกัน-ลดเสี่ยงแพร่เชื้อ
เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2564 นายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ยังคงพบผู้ติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง โดยยังไม่มีแนวโน้มจะคลี่คลายลงนั้น คณะอนุกรรมการศึกษา ติดตาม และแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการคดีภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่มี นายชาญณรงค์ ปราณีจิตต์ ผู้พิพากษาศาลฎีกา เป็นประธานฯ ซึ่งได้ติดตามประเมินสถานการณ์ของการแพร่ระบาดไวรัสโควิดมาโดยตลอด ได้ประชุมหารือประจำทุกเดือนเพื่อพิจารณาหามาตรการต่างๆ นำมากำหนดเป็นแนวปฏิบัติสำหรับหน่วยงานในสังกัดสำนักงานศาลยุติธรรมทั่วประเทศ เพื่อการบริหารจัดการคดีไม่ให้กระทบการพิจารณาพิพากษาของศาล และไม่เป็นอุปสรรคต่อคู่ความ โดยคณะอนุกรรมการศึกษาฯล่าสุดได้ประกาศแนวปฏิบัติบริหารจัดการคดีฉบับที่ 4 สำหรับช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค. - 28 ก.พ.นี้
โดยแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารจัดการคดีในสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ ฉบับที่ 4 ด้านการจัดการคดี เห็นควรให้ศาลชั้นต้นเลื่อนคดีจัดการพิเศษ (คดีที่ไม่มีความยุ่งยากซับซ้อน และมีแนวโน้มที่จะพิจารณาให้เสร็จได้ภายในนัดเดียว หรือใน 1 วัน เช่นคดีแพ่งมโนสาเร่ คดีผู้บริโภค) , คดีสามัญ (คดีที่ไม่ใช่คดีจัดการพิเศษ ซึ่งต้องสืบพยานหลักฐานของคู่ความและไม่สามารถนั่งพิจารณาคดีให้เสร็จได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว) และคดีสามัญพิเศษ (คดีสามัญที่มีความยุ่งยากสลับซับซ้อน มีพยานหลักฐานที่ต้องนำสืบจำนวนมากไม่สามารถนัดสืบต่อเนื่องกันไปจนเสร็จต้องสืบเป็นช่วงๆ ละ 2 - 4 วัน) ที่เคยนัดพิจารณาไว้ระหว่างวันที่ 1 - 28 ก.พ.64 ออกไปก่อน โดยยังไม่ต้องกำหนดวันนัดใหม่
ทั้งนี้ ให้แจ้งคู่ความและพยานที่ศาลมีหมายเรียกทราบด้วย และยังให้ศาลชั้นต้นทั่วประเทศพิจารณาที่จะงดดำเนินการเกี่ยวกับการออกหมาย และส่งหมายแจ้งนัดสำหรับคดีทุกประเภท ที่ผู้รับหมายมีภูมิลำเนาหรือที่พักอาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) ด้วย เว้นแต่ในกรณีมีเหตุจำเป็นก็ให้ส่งด้วยไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ
สำหรับศาลชั้นอุทธรณ์ และศาลฎีกา ที่มีนัดพิจารณาระหว่างวันที่ 1 - 28 ก.พ.64 ก็อาจเลื่อนคดีได้ตามความเหมาะสม
อย่างไรก็ดี ในการให้พิจารณาเลื่อนคดีได้ตลอดทั้งเดือน ก.พ.นั้น มีข้อสังเกตด้วยว่า หากเลื่อนคดีไปแล้วอาจทำให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียหาย ก็ให้คำนึงถึงความยินยอมของคู่ความด้วย และสำหรับคดีประเภทที่ต้องสืบพยานประกอบคำรับสารภาพ หรือนัดตรวจพยานหลักฐานในคดีที่จำเลยต้องขัง ก็สามารถดำเนินการผ่านระบบการประชุมทางจอภาพ (VDO Conference) ระหว่างศาลกับเรือนจำ โดยให้ศาลคำนึงถึงจำนวนคดี จำนวนผู้เกี่ยวข้องในการดำเนินกระบวนพิจารณาและความพร้อมของระบบนั้นด้วย
สำหรับกลุ่มคดีจัดการพิเศษที่รับฟ้องใหม่ ควรให้กำหนดวันนัดพิจารณาเดือน เม.ย. - พ.ค.64 เป็นต้นไป โดยให้นัดต่อจากคดีที่ได้เลื่อนมา
ส่วนการบริหารจัดการบุคลากรทั้งในศาลชั้นต้นศาลชั้นอุทธรณ์ และศาลฎีกา ก็ยังคงให้พิจารณาเรื่องการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของหน่วยงาน หรือ Work from home สำหรับผู้พิพากษาที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ในเวรด้านต่างๆ และในส่วนของข้าราชการศาลยุติธรรมได้ตามความเหมาะสมและความจำเป็น
สำหรับมาตรการในห้องพิจารณา ย้ำเตือนให้จัดระยะห่างบุคคลระยะ 1 - 1.5 เมตร และจัดให้เจ้าหน้าที่บัลลังก์ (ผู้ทำหน้าที่เกี่ยวกับรายงานกระบวนพิจารณาเสนอศาล) อยู่ในบริเวณที่เหมาะสม เช่น กำหนดเส้นแบ่งพื้นที่ในห้องพิจารณา เช่นเดียวกับจุดรับบริการหรือเคานท์เตอร์บริการงานด้านต่างๆ ก็ให้มีการขีดเส้นแบ่งพื้นที่ให้มี Social Distancing ระหว่างเจ้าหน้าที่ศาลกับผู้มาติดต่อราชการด้วย ด้านการให้บริการผู้มาติดต่อราชการก็จัดให้มีจุดบริการเบ็ดเสร็จที่จุดเดียว หรือ One Stop Service และกล่องรับเอกสารแบบ Box Thru เพื่อให้คู่ความหรือทนายความสามารถยื่นคำคู่ความหรือเอกสารใดๆ รวมทั้งการจัดบริการให้กับผู้มาติดต่อโดยไม่ต้องลงจากรถแบบ Drive Thru ด้วย
สำหรับศาลที่มีทางเดินรถสะดวกกว้างขวางขณะที่เรื่องการติดต่อทุกหน่วยงานต้องจัดให้มีหมายเลขโทรศัพท์หรือช่องทางการสื่อสาร เพื่อให้ประชาชนสอบถามข้อมูลได้ โดยให้ประชาสัมพันธ์แก่ประชาชนทราบผ่านที่เว็บไซต์ของหน่วยงานนั้นๆ
นอกจากนี้ ด้านการบริหารจัดการอาคารสถานที่ กรณีที่กำหนดให้จัดกิจกรรมที่ต้องมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก ให้พิจารณาเลื่อนการจัดกิจกรรมออกไปก่อนในช่วงเวลานี้เพื่อสอดรับกับนโยบายของภาครัฐในการป้องกันแก้ไขและควบคุมไม่ให้โควิดแพร่ระบาดออกไปในวงกว้าง ขณะที่ด้านการบริหารจัดการเกี่ยวกับมาตรการให้คำแนะนำและให้ความช่วยเหลือแก่บุคลากรในหน่วยงานนั้น กรณีที่หน่วยงานได้ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีบุคลากรในหน่วยงานมีความเสี่ยงที่อาจติดเชื้อโควิด ก็ขอให้แจ้งข้อมูลมาที่ "ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019" สำนักการแพทย์ สำนักงานศาลยุติธรรม เพื่อจัดเก็บรวบรวมข้อมูลและให้ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันการแพร่ระบาดฯ ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการให้คำแนะนำปรึกษาและให้ความช่วยเหลือในการตรวจหาเชื้อ การรักษาแก่บุคลากรของหน่วยงานในสังกัดสำนักงานศาลยุติธรรมที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ของโรคดังกล่าวด้วย
"ศาลยุติธรรมและสำนักงานศาลยุติธรรม ยังคงมาตรการเข้มงวดในการป้องกัน และลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ไว้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความมั่นใจด้านสุขอนามัยให้ทั้งคู่ความที่มีอรรถคดีในศาลและผู้ที่ต้องมาติดต่อราชการศาล และบุคลาการในหน่วยงานสังกัดศาลยุติธรรมทุกคน โดยคาดหมายว่าสถานการณ์เช่นนี้จะค่อยๆ คลี่คลายได้ในไม่ช้า ซึ่งระหว่างนี้เราทุกคนต้องไม่ละเลยต่อการมาตรการสำหรับการป้องกันที่หน่วยงานรัฐต่างๆ ได้ให้คำแนะนำไว้ด้วย" โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวตอนท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี