‘อนุทิน’แจงยิบปมซื้อวัคซีนโควิด
ไม่ช้า-เน้นปลอดภัย
ปัดใช้ชีวิตคนเป็นเครื่องมือการเมือง
ยอดติดเชื้อสะสมทะลุหมื่นราย
บิ๊กตู่ประเมินสถานการณ์เป็นระยะ
ศบค.เล็งเคาะผ่อนปรนมาตรการ
ระยองเฮไร้ยอดป่วย-ผู้ว่าฯปลดล็อก
โควิด-19 ไทยทะลุหมื่นรายแล้ว วันนี้พบ 959 ราย จากการค้นเชิงรุกสมุทรสาคร844 ราย ชี้ยอดป่วยยังพุ่ง ด้านคณะกรรมการเฉพาะกิจฯนัดถก 27 มกราคม ทำแผนผ่อนคลายกิจการ-กิจกรรม ก่อนชงศบค.ชุดใหญ่เคาะ 29 มกราคม ด้านนายกฯย้ำมาตรการผ่อนคลายคุมโควิด-19 พิจารณาเป็นระยะตามสถานการณ์ จำแนกพื้นที่เสี่ยงสูง-เสี่ยงต่ำ แจงตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงมาจากค้นหาเชิงรุก พร้อมนำครม.ส่งกำลังใจให้ผู้ว่าฯสมุทรสาครขอบคุณที่เสียสละทำเพื่อประเทศ ศิริราชชี้ผู้ว่าฯแนวโน้มอาการดีขึ้น ไม่พบเชื้อโควิดในตัวแล้ว รอดูยาตัวใหม่รักษาปอดอักเสบออกฤทธิ์ ขณะที่”อนุทิน”แจงยิบ 5 คำถาม “ธนาธร” ปมจัดซื้อวัคซีนยันไม่ล่าช้า พร้อมฉีดคนแรก 14 ก.พ. ลั่นทำทุกอย่างเพื่อประชาชน เน้นความปลอดภัย ไม่มีเป้าประสงค์ทางการเมือง ลั่นไม่นำชีวิต-สุขภาพคนไทยมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือแสวงหาประโยชน์
เมื่อวันที่ 26 มกราคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค. แถลงสถานการณ์ผู้ติดเชื้อประจำวัน พร้อมความคืบหน้ามาตรการตรวจหาเชื้อเชิงรุก
ติดเพิ่ม959สะสมรอบใหม่หมื่นคน
นพ.ทวีศิลป์ระบุว่า วันนี้ไทยมีผู้ติดเชื้อใหม่ 959 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 937 ราย โดยเป็นผู้ป่วยรายใหม่จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 89 ราย และมาจากการค้นหาเชิงรุก 848 ราย ในจำนวนนี้เป็นการค้นหาเชิงรุกที่จ.สมุทรสาคร 844 ราย แบ่งเป็นคนไทย 84 ราย แรงงานต่างด้าว 760 ราย และกทม.อีก 4 ราย นอกจากนั้น เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 22 ราย ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 14,646 ราย หายป่วยสะสม 10,892 ราย อยู่ระหว่างรักษา 3,679 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม ทำให้มียอดสะสมคงที่ 75 ราย อย่างไรก็ตาม หากนับเฉพาะผู้ติดเชื้อสะสมระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563-26 มกราคม วันนี้ถือเป็นวันแรกที่มีผู้ติดเชื้อสะสมถึงหมื่นคน ติดเชื้อแล้ว 10,409 ราย ขณะที่สถานการณ์โลก มีผู้ติดเชื้อสะสมแตะร้อยล้านรายวันแรก โดยมียอดสะสม 100,280,252 ราย และเสียชีวิตสะสม 2,149,387 ราย
ชี้ยอดติดโควิดพุ่งต่อเนื่อง
ทั้งนี้ จากข้อมูลของกระทรวงการอุดมศึกษา วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ระบุว่า นับตั้งแต่การพบผู้ติดเชื้อรายแรกที่จีนเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2563 จนถึงวันนี้ 391 วันแล้ว ผู้ติดเชื้อช่วงหลังจะเพิ่มรวดเร็วขึ้น เห็นได้จากการขยับตัวเลขผู้ติดเชื้อจาก 20 ล้านรายไปถึง 40 ล้านรายใช้เวลามากกว่า 2 เดือน แต่จากผู้ติดเชื้อรายที่ 60 ล้าน ไปถึง 80 ล้านใช้ระยะเวลาเพียง 1 เดือน และปัจจุบันพบผู้ติดเชื้อถึง 10 ล้านคน ในทุก 16 วัน
เขตบางขุนเทียนแชมป์สะสม130
นพ.ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า หากดูจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศระลอกนี้จะเห็นว่า ช่วงอายุที่ติดเชื้อมากที่สุดคือ อายุ 20-39 ปี ที่พบผู้ป่วยสามพันกว่าราย เป็นวัยรุ่น วัยทำงาน มีพฤติกรรมเดินทางมากและร่วมสังสรรค์ รวมถึงพบว่าเป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการ เพราะเป็นวัยที่สุขภาพแข็งแรง นอกจากนี้ ระลอกนี้มีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อไปแล้ว 25 ราย อยู่ใน กทม. 11 ราย และถ้าดูจากสถานที่ปฏิบัติงานจะพบในโรงพยาบาลของรัฐถึง 13 รายหรือ 52% นอกจากนี้ ถ้าดูเฉพาะในพื้นที่ กทม. เขตที่พบผู้ติดเชื้อมากที่สุดคือ เขตบางขุนเทียนที่มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 50 ราย โดยขณะนี้ติดเชื้อแล้ว 130 ราย ขณะที่เขตที่มีผู้ติดเชื้อระหว่าง 11-50 ราย มีจำนวนทั้งสิ้น 13 เขต เขตที่มีผู้ติดเชื้อระหว่าง 1-10 ราย มี 34 เขต และเขตที่ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อมี 2 เขต คือ สะพานสูงและสัมพันธวงศ์
ชงศบค.เคาะผ่อนคลาย29มค.
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงช่วงนี้จะส่งผลต่อการผ่อนคลายมาตรการหรือไม่ โฆษก ศบค.กล่าวว่า ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน กระทรวงสาธารณสุข (อีโอซี)หารือกันทุกวัน มีการเสนอหลายรูปแบบ ก่อนนำมาหารือต่อในศบค.ชุดเล็ก โดยวันที่ 27 มกราคม จะมีการประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อสรุปมาตรการผ่อนคลายต่อกิจการและกิจกรรมในรูปแบบที่อีโอซี สธ.นำเสนอ ทั้งร้านอาหาร สถานประกอบการ สถานบันเทิง โรงเรียน ก่อนเสนอเข้าที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่วันที่ 29 มกราคม
คลายล็อครายพื้นที่ตามสถานการณ์
ด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมให้สัมภาษณ์หลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ถึงการประชุมศบค. ชุดใหญ่วันที่ 29 มกราคมว่า อย่ามองว่าจะได้ข่าวดีหรือไม่ดี เพราะมันก็มีทั้งข่าวดีและข่าวไม่ดี แต่เราแก้ไขได้ แก้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะมีผู้ป่วยติดเชื้อตรวจสอบพบมากขึ้นหรือน้อยลง ต้องดูในมิติภาพรวมทั้งหมดว่าจะตัดสินใจกันอย่างไร กรณีที่ตัวเลขเพิ่มขึ้นเกิดจากที่เราเร่งตรวจสอบคัดกรองแบบเชิงรุก เพื่อเคลียร์ในพื้นที่ระบาดรุนแรงให้ลดลงเร็วที่สุด ส่วนมาตรการผ่อนคลายก็ต้องดูเป็นพื้นที่ๆไป ทั้งพื้นที่ศูนย์กลางและพื้นที่โดยรอบ โดยจะทำอย่างไรไม่ให้แพร่ระบาดต่อไป
นายกฯ-ครม.ส่งกำลังใจให้ผู้ว่าฯ
นายกฯยังกล่าวถึงอาการป่วยของนายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครด้วยว่า ขอให้ทุกคนรวมพลัง รวมกำลังใจ ความห่วงใยส่งให้ผู้ว่าฯ วันนี้มีสถานการณ์ต้องเฝ้าระวังเข้มข้นขึ้น โดยคณะแพทย์ที่ดูแลเป็นพิเศษตรงนี้ ตนได้รับคำชี้แจงมาว่าเป็นเรื่องการปรับวิธีการรักษาให้เหมาะสมในการแก้ปัญหาเรื่องช่องคอช่องอก ตรงนี้เป็นเรื่องทางการแพทย์ รัฐบาลขอขอบคุณในการเสียสละของท่าน จนถึงวันนี้คิดว่าบุญกุศลที่ท่านทำไว้จะทำให้ท่านปลอดภัย ขอให้จงปลอดภัยเป็นปกติสุขโดยเร็ว กำลังใจจากตน ตนให้คนไปเยี่ยม 3 ครั้งแล้ว และกระทรวงสาธารณสุขโดยรองนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมเยือนเป็นพิเศษอยู่แล้ว วันนี้เอากำลังใจครม.ไปถึงท่านและครอบครัวด้วย และเราจะดูแลให้ดีที่สุด
โต้ทอนอย่างสุภาพปัดซื้อวัคซีนช้า
ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์เฟสบุ๊คตั้งคำถาม5 ข้อ เกี่ยวกับการจัดซื้อวัคซีนที่ห่วงว่าจะล่าช้าหรือไม่ว่า ยืนยันว่าไม่ล่าช้า เพราะไทม์ไลน์เดิมหากไม่มีเหตุการณ์จ.สมุทรสาคร เราจะฉีดวัคซีนช่วงต้นเดือนมิถุนายน เพราะก่อนหน้านี้ไทยไม่ได้ระบาดทั่วประเทศเช่นตอนนี้ และควบคุมสถานการณ์ได้ดี และการแจกจ่ายวัคซีนต้องเน้นความปลอดภัย และวัคซีนของแอสตร้าเซเนก้าน่าจะเป็นวัคซีนที่เหมาะสมกับสถานการณ์และภูมิประเทศรวมถึงคนไทยมากที่สุด เราทำตามนั้นไม่มีอะไรล่าช้าอีกทั้งทุกอย่างต่อไปเรายังสามารถผลิตในประเทศไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกตัดออเดอร์ หรือ ถูกใครแย่งไปก่อน ส่วนที่นายธนาธรตั้งคำถาม 5 ข้อมานั้น ตนอ่านแล้ว เขาเขียนมาอย่างสุภาพให้เกียรติกัน ตนจะตอบข้อสงสัยตามช่องทางที่เขียนมา ถ้ามีข้อสงสัยและให้เกียรติกันไม่มีเจตนาแอบแฝง ตนก็พร้อมตอบ และที่นายธนาธรให้คำแนะนำมาที่เป็นประโยชน์ก็จะนำไปคิดและปฏิบัติ
ยันไม่โยงการเมืองพร้อมฉีดคนแรก
กรณีนายกฯห่วงการเมืองเข้าไปยุ่งเกี่ยวจะทำให้การจัดหาวัคซีนล่าช้านั้น นายอนุทินกล่าวว่า นายกฯห่วงประชาชนมากกว่าจึงปรารภไม่อยากให้เป็นเรื่องการเมือง ตนและทีมงานในกระทรวงสาธารณสุขไม่เคยมองเป็นการเมือง หากได้มาตนพร้อมฉีดคนแรก ไม่มีปัญหา มาเมื่อไหร่ก็ฉีด หลังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขตรวจสอบว่าปลอดภัย ยืนยันว่าไม่มีเรื่องการเมืองและเรื่องผลประโยชน์ให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนและกฎหมาย มีหลักวิชาการและบุคลากรทางการแพทย์ให้การรับรอง
แจงปมจัดหาวัคซีนละเอียดยิบ7ข้อ
จากนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอนุทินได้ตอบคำถามนายธนาธร ในประเด็นจัดหาวัคซีนโควิด-19 ผ่านเฟซบุ๊ก มีรายละเอียดโดยสรุปว่า ต้องขอบคุณนายธนาธรที่ติดตามการทำงานของ สธ. ซึ่งควบคุมการระบาดมาตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2562 จนถึงขณะนี้ และดีใจที่นายธนาธรไม่กล่าวถึง“วัคซีนพระราชทาน” และ ไม่พาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ เข้าใจว่านายธนาธรได้รับทราบข้อมูลถูกต้องเป็นจริงแล้ว ประเด็นสำคัญคือ ยืนยันการจัดหาวัคซีนไม่ได้ล่าช้า เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เมษายน 2563 กว่าที่จะเจรจาบรรลุข้อตกลงที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทย และคนไทย ต้องใช้เวลามากพอสมควร เมื่อชัดเจนจึงแถลงให้ประชาชนทราบ
นายอนุทินชี้แจงขั้นตอนการจัดหาวัคซีนโดยแบ่งเป็น 7 ข้อว่า เราเจรจากับผู้ผลิตทุกราย ที่ผลิตวัคซีนออกมาจำหน่ายขณะนี้ ซึ่งมีข้อจำกัดมากทั้งจากเงื่อนไขของผู้ผลิต และจากระบบกฎหมายไทย งบประมาณของประเทศไทย โดยข้อแรก 1. ผู้ผลิตทุกราย ต้องการให้จ่ายเงินจองซื้อวัคซีน ขณะที่เขาเพิ่งเริ่มต้นทดลองยังไม่รู้ผล ถ้าเขาผลิตไม่สำเร็จ เงินที่เราจองซื้อไปจะไม่ได้คืน แต่กฎหมายไทย ไม่อนุญาตให้หน่วยงานรัฐทำสัญญาดังกล่าวได้ 2. เมื่อพิจารณาข้อมูลด้านเทคนิคการผลิตและการจัดการวัคซีนจากแหล่งผลิตไปจนถึงประชาชน เราต้องเลือกวัคซีนที่เหมาะสมกับไทย และความปลอดภัยของประชาชน สูงสุด ใช้งบประมาณซึ่งเป็นภาษีประชาชนคุ้มค่า จึงเป็นที่มาของการเลือกซื้อวัคซีนจากบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า จำกัด (มหาชน) ซึ่งราคาต่ำกว่าผู้ผลิตรายอื่น และเหมาะกับการจัดการฉีดในประเทศไทย
แอสตร้าฯเลือกเองใช้รง.ในไทยผลิต
3. การได้รับข้อเสนอจากบริษัท แอสตร้าเซนเนก้าฯ ใช้โรงงานในประเทศไทย ซึ่งบริษัทเลือกเอง เป็นฐานการผลิตวัคซีน ของบริษัท เพื่อจำหน่ายให้ภูมิภาคอาเซียน ต้องนับเป็นความมั่นคงด้านวัคซีนของไทย เป็นสิทธิประโยชน์ที่ดีกว่าหลายประเทศในอาเซียน ในฐานะผู้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีน ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุน เพื่อศักยภาพของประเทศ เช่นเดียวกับ ที่รัฐบาลสนับสนุนให้หน่วยงาอื่นผลิต 4. การจัดหาวัคซีนระยะแรก 26 ล้านโดส จากบริษัท แอสตร้าเซนเนก้าฯ และ 2 ล้านโดส จากบริษัท ไซโนแวคฯ เพื่อฉีดให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยง เป็นจำนวนที่คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติพิจารณาแล้วว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ในประเทศไทย ทั้งนี้ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ โดยคำแนะนำของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติจองซื้อวัคซีนของบริษัท แอสตร้าเซนเนก้าฯ เพิ่มอีก 35 ล้านโดส รวมเป็น 63 ล้านโดส สำหรับประชากร 31.5 ล้านคน คิดเป็น 63 % ของประชากรที่ควรรับวัคซีนได้ ซึ่งมีประมาณ 50 ล้านคน ถือว่าเป็นจำนวนมากพอที่จะสร้างภูมิคุ้มกันให้คนไทย
ชี้ฉีดวัคซีนเมัครใจปิดจ๊อบต้นปี65
นายอนุทินกล่าวอีกว่า 5. ทุกฝ่ายที่วิจารณ์และตำหนิการทำงานของสธ.ในการบริหารสถานการณ์โควิดต้องให้ความเป็นธรรมต่อคนทำงานด้วย เพราะโรคนี้อุบัติใหม่ ทุกประเทศไม่มีประสบการณ์ เช่นเดียวกับไทย ที่ใช้ประสบการณ์ในอดีตมาเป็นข้อมูลพื้นที่ทำงาน ปรับปรุงแผนทุกวัน เพื่อควบคุมการระบาดให้ได้ดีที่สุด ซึ่งเป็นไปตามหลักการแพทย์ทุกประการ และฉีดวัคซีนให้คนไทยทุกคนด้วยความสมัครใจ ให้แล้วเสร็จต้นปี 2565 เป็นอย่างช้า
“ขอย้ำว่าการฉีดวัคซีน ไม่ใช่การปลดล็อกทุกอย่าง และจะทำให้เรากลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม โดยระยะแรกของการฉีด วัคซีนเป็นเพียงเครื่องมือควบคุมโรค ป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้ออาการหนัก และเสียชีวิต หลังฉีดแล้ว ทุกคนยังต้องใส่หน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ และไม่ไปที่แออัด เพื่อลดติดและแพร่เชื้อ อีกสักระยะ เราต้องติดตามผลศึกษาวัคซีน ว่าจะสร้างภูมิคุ้มกันได้นานแค่ไหน”นายอนุทินกล่าว
ยันรบ.ไม่ได้ผูกขาดเน้นสิ่งที่ดีที่สุด
และว่า 6. กรณีไทยไม่รวมโครงการวัคซีนของ COVAX นั้น เราเจรจากับ COVAX มาตลอด แต่เราไม่อยู่เกณฑ์ที่เขาจะให้ฟรี ไทยถูกจัดให้เป็นประเทศฐานะปานกลาง หากเราจะร่วมกับ COVAX เราต้องซื้อราคาแพงกว่า และไม่สามารถเลือกวัคซีนจากผู้ผลิตรายใดได้ มีความไม่แน่นอนทั้ง ชนิด จำนวน และราคา รวมทั้งต้องจ่ายเงินล่วงหน้า ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้วัคซีนเมื่อใด การที่เราจัดหาเอง และได้วัคซีนที่เหมาะสมกับการใช้ มีเงื่อนไขด้านราคาและเวลาที่ชัดเจน จะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยมากกว่า และ7. รัฐบาลไม่มีนโยบายผูกขาดการจัดหาวัคซีนจากผู้ผลิตรายหนึ่งรายใด แต่เลือกที่เหมาะสมใช้กับไทยมากที่สุด ยืนยันว่าการจัดหาวัคซีนจากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าฯ 61 ล้านโดส และจากบริษัท ไซโนแวคฯ 2 ล้านโดส เป็นการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้คนไทย เพราะตอบรับข้อเสนอเงื่อนไขการขายวัคซีนให้ไทย ดีกว่าผู้ผลิตรายอื่น ถ้าอนาคตมีผู้ผลิตรายอื่นขึ้นทะเบียนในไทย และขายราคาต่ำกว่าที่ซื้อมา รัฐบาลจะพิจารณาจัดซื้อ และสนับสนุนเอกชนซื้อให้ประชาชน
ปัดใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
นายอนุทินยังกล่าวถึงสัญญาต่างๆว่า สัญญาภาคเอกชน หรือ สัญญาระหว่างรัฐกับเอกชนก็ตาม นายธนาธรมีประสบการณ์ทางธุรกิจภาคเอกชน น่าจะทราบดีว่า การจะเปิดเผยข้อความในสัญญา ทำได้หรือไม่ อย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ตนให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข รับไปพิจารณาดำเนินการตามกรอบกฎหมายแล้ว
“ผมตอบคำถามคุณธนาธรตามนี้ และยืนยันว่ารัฐบาลพร้อมปรับแผนบริหารสถานการณ์โควิด-19 รวมถึงการจัดหาวัคซีน หากมีผลการศึกษาและผลิตวัคซีนที่ดีเหมาะสมกว่า เพื่อความปลอดภัยของประชาชน ขอให้เชื่อมั่นรัฐบาลห่วงประชาชนทุกคน ปรารถนานำประเทศไทยกลับสู่สถานการณ์ปกติ ทางเศรษฐกิจ และสังคมเร็วที่สุด ไม่มีเป้าหมายการเมือง และไม่ประสงค์จะนำความปลอดภัยในชีวิตและสุขภาพของประชาชน มาเป็นเครื่องมือการเมือง หรือ แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ เป้าหมายเดียวคือ ประชาชนคนไทยต้องปลอดภัย”นายอนุทินกล่าวย้ำ
ผู้ว่าฯคงที่-ไม่พบเชื้อโควิดในตัว
วันเดียวกัน ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล เปิดเผยอาการล่าสุดของนายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการสมุทรสาครว่า หลังเจาะคอเพื่อช่วยให้การหายใจดีขึ้น ทำให้ทีมแพทย์ดูดเสมหะได้ง่ายขึ้น ส่วนการดูดน้ำจากหลอดลมส่วนปลายเพื่อตรวจหาเชื้อโควิด-19 รอบที่ 3 ปรากฏว่า ผลไม่พบเชื้อแล้ว สรุปได้ว่าผู้ว่าฯ ไม่มี COVID-19 แล้ว ส่วนการติดตามอาการที่ติดเชื้อแบคทีเรียในปอดนั้น พบอาการดีขึ้นมาก แสดงว่ายาปฏิชีวนะที่ให้ไป 1 สัปดาห์ได้ผล ยาทำงานได้ดี อีกทั้ง ผู้ว่าฯ ไม่มีไข้มา 2 วันแล้ว แสดงว่าการติดเชื้อในปอดกำลังดีขึ้น นอกจากนี้ ผลเอกซเรย์ปอดของผู้ว่าฯ มีอาการอักเสบหย่อมๆ และพบพังผืดในปอดบางส่วน เป็นความเสียหายที่เกิดจากผลของโควิด-19 เข้ามาทำลายปอด ทั้งนี้ ทีมแพทย์ให้ยาลดการอักเสบของปอด ควบคู่กับยาลดการสร้างพังผืดในปอด ขณะนี้อยู่ระหว่างติดตามการฟื้นตัวของปอด ขณะนี้ไม่มีอะไรแย่ลง สภาพคงที่ แต่แนวโน้มดีขึ้น รอการทำงานของยาใหม่ก่อน แนวโน้มที่ดีอีกอย่างคือ ระบบทางเดินอาหารของผู้ว่าฯกลับมาทำงานได้ดี ให้อาหารทางลำไส้ได้แล้ว
กทม.ติดเชื้อสะสมพุ่ง721ราย
ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง โฆษก กรุงเทพมหานคร (กทม.)เปิดเผยสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในกทม.ว่า พบผู้ติดเชื้อตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2563 – 26 มกราคม รวม 721 ราย จากการสอบสวนโรคผู้ติดเชื้อถึงวันที่ 25 มกราคม จำนวน 700 ราย เป็นคนต่างจังหวัดที่รักษาตัวในรพ.ในกทม. 150 ราย และเป็นคนที่อยู่ในพื้นที่ กทม. 550 ราย การติดเชื้อในประเทศส่วนใหญ่มาจากการสัมผัสผู้ป่วยยืนยันที่เป็นคนในครอบครัวหรือจากคนในที่ทำงาน การไปสถานบันเทิง/สถานที่ชุมชน และการตรวจเชิงรุกในตลาด และชุมชน ซึ่งได้เปิดเผยไทม์ไลน์ไปแล้ว 629 ราย และวันนี้ผู้ติดเชื้อที่อยู่ใน กทม.สอบสวนโรคเสร็จแล้ว เพิ่มอีก 14 ราย
ระยองป่วยศูนย์-ปลดล็อค27มค.
นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง พร้อมนพ.สุนทร เหรียญภูมิการกิจ สาธารณสุขจังหวัดระยอง แถลงสถานการณ์โควิด-19 ประจำวันของ จ.ระยองว่า วันนี้ไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม ยอดยังคงเป็นศูนย์ ผู้ติดเชื้อสะสม 576 คน รักษาหาย 544 ราย รักษาตัวในโรงพยาบาล 31 คน สำหรับการประชุมร่วมกันเกี่ยวกับมาตรการการผ่อนคลาย หลังภาคตะวันออกคุมการระบาดได้มีประสิทธิภาพ ตัวเลขผู้ติดเชื้อเป็น 0 ทั้ง 8 จังหวัด ในภาคตะวันออก ศบค.ชุดเล็กมีความเห็นที่จะลดจากพื้นที่เสี่ยงพิเศษ หรือ สีแดงเข้ม เป็นพื้นที่ควบคุม หรือสีส้ม โดยจะเสนอเข้าที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่พิจารณาวันที่ 29 มกราคม
สนามมวย-ผับอาบอบนวดยังปิดต่อ
ทั้งนี้ มาตรการผ่อนคลายนำไปสู่การเปิดกิจการต่างๆ มีดังนี้ นวดแผนไทย ห้างสรรพสินค้า คลีนิคเสริมความงาม สนามกอล์ฟ สนามกีฬา ลานกีฬา ลานกิจกรรม สนามยิงปืน และตลาดนัด เตรียมเปิดในวันที่ 27 มกราคมนี้ แต่ขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบแจ้งพนักงานเขียนไทม์ไลน์ไว้ เพื่อเตรียมพร้อมหากพบผู้ติดเชื้อ ส่วนสถานที่ที่ยังต้องปิดต่อไปมีดังนี้ สนามมวย สนามชนไก่ ศูนย์พระเครื่อง โรงเรียนกวดวิชา ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สวนน้ำ บ่อตกกุ้ง ร้านเกมส์ ร้านสักผิวหนัง ผับบาร์ และอาบอบนวด เพราะสถานการณ์โดยรวมยังต้องยกการ์ดสูงไว้ แม้ตัวเลขจะเริ่มลดลงจน วันนี้ไม่พบผู้ติดเชื้อ ทุกคนยังคงต้องเฝ้าระวังตัวเองตามมาตรการ ถือเป็นวัคซีนชั้นดีที่จะไม่ติดเชื้อ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี