ผู้ว่าฯโคราช ยื่นมือช่วยเหลือผู้สูงอายุหลังพบมีผู้ถูกเรียกเงินเบี้ยคนชราคืนกว่า 10 ราย สั่งท้องถิ่นสำรวจจำนวน ดูข้อกฏหมายเยียวยา ขณะที่เทศบาลจอหอ เผยมีรวดเดียว 13 ราย ยอมจ่ายคืน 9 รายฟ้องศาล 4 ราย ด้านเหยื่อขอความเห็นใจไม่ได้ต้องการขอเบี้ยยังชีพแต่แรก อ้าง จนท.ทำให้ทุกอย่าง ระบุไม่มีเงินก้อนคืนขอเห็นใจ ผ่อนผันร้องศาลขอความเป็นธรรม
ความคืบหน้ากรณีการร้องเรียนจากนายมฤคินทร์ เขียนจอหอ อายุ 42 ปี ลูกชายของนางประจวบ ผะดาวัลย์ อายุ 73 ปี ผู้สูงอายุชราภาพ ซึ่งเป็นชาวบ้านในพื้นที่หมู่ 3 ตำบลจอหอ อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา หลังจากได้รับหนังสือขอเรียกคืนเงินสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่จ่ายให้กับนางประจวบฯ ผู้เป็นแม่ ย้อนหลังตั้งแต่ เม.ย.52 ถึง พ.ย.63 เป็นระยะเวลากว่า 11 ปี เป็นเงิน 76,400 บาท และรวมดอกเบี้ยเป็นยอดจำนวน 77,737 บาท ซึ่งหลังปรากฏข่าวการเรียกคืนเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุหลายรายในพื้นที่เทศบาลตำบลจอหอ โดยจากการตรวจสอบเบื้องต้นมีจำนวน 13 รายในพื้นที่ ต.จอหอ ถูกเทศบาลตำบลจอหอ เรียกเก็บเงินค่าเบี้ยยังชีพคืนย้อนหลัง ตามคำสั่งของกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง หลังจากตรวจพบว่าผู้สูงอายุเหล่านั้นได้รับเงินบำนาญพิเศษมาก่อนแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
ต่อมาเวันนี้ (27 ม.ค.64) ที่ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวถึงแนวทางการช่วยเหลือผู้สูงอายุที่ถูกเรียกเงินคืนว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้ทางท้องถิ่นจังหวัดเข้าไปตรวจสอบและเข้าไปดูแล ซึ่งเรื่องนี้ทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเองก็ถูกทวงจากหน่วยตรวจสอบ ส่วนเรื่องที่จะให้ประชาชนผ่อนชำระคืนเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของประชาชนนั้น ได้ให้ทางท้องถิ่นจังหวัดฯเข้าไปเจรจาตรวจสอบดูว่าระเบียบข้อกฏหมายสามารถดำเนินการได้มากน้อยแค่ไหน ส่วนตนก็รู้สึกสงสารและเห็นใจประชาชนผู้สูงอายุที่น่าจะไม่ทราบข้อกฎหมายที่ชัดเจนและรับเงินด้วยความบริสุทธิ์ใจ
การรับเงินมาในแต่ละครั้งของผู้สูงอายุ เมื่อได้มาคงจะใช้เงินหมดไปกับชีวิตประจำวัน หากมีการเรียกคืนเป็นก้อนคงจะเกิดความลำบากกับประชาชน อาจจะต้องหาวิธีการช่วยเหลือผู้สูงอายุเหล่านั้น แต่ทั้งนี้ได้ให้ทางท้องถิ่นจังหวัดฯเข้าไปตรวจสอบจำนวนผู้สูงอายุทั้งหมด ทั้งจังหวัดมีมีจำนวนกี่ราย เป็นจำนวนเงินมากน้อยเพียงใด เพื่อช่วยเหลือ ชาวบ้านเองไม่น่าจะมีเจตนาที่จะโกงหรือทุจริตเงินของรัฐแต่อย่างใด ส่วนสาเหตุน่าจะเกิดจากระบบการเก็บข้อมูลที่คลาดเคลื่อนและน่าจะยังไม่ทันสมัยถึงให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น อย่างไรก็ตาม อยากให้ผู้สูงอายุสบายใจทางจังหวัดไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้เร่งดูข้อกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ เพื่อเข้าไปให้ความช่วยเหลือทุกรายอย่างแน่นอน
ทั้งนี้จากกรณีที่มีครอบครัวของผู้สูงอายุหลายรายในพื้นที่ตำบลจอหอ อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ร้องเรียนว่า ครอบครัวถูกหนังสือขอเรียกคืนเงินสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุย้อนหลังเป็นเงินจำนวนหลายหมื่นบาท เฉลี่ยรายละ 70,000-100,000 บาท บางรายไม่สามารถหาเงินมาชำระคืนได้ จนถูกทางเทศบาลตำบลจอหอส่งเรื่องฟ้องศาลแขวงนครราชสีมาดำเนินคดีตามกฎหมายนั้น
ล่าสุดเมื่อช่วงเที่ยงวันนี้ ที่สำนักงานสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา หน้าสูนย์การศึกษานอกโรงเรียน วัดป่าสาละวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา นายมฤคินทร์ เขียนจอหอ ลูกชายของนางประจวบ ผะดาวัลย์ พร้อมด้วยนางสาววรรณภา สารเป็น หลานสาวของนางสัมฤทธิ์ ภู่สว่าง ซึ่งเป็นผู้ถูกเทศบาลตำบลจอหอเรียกคืนเงินสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ได้เดินทางเข้าพบกับนายพรเทพ เจริญพงศ์อนันต์ ประธานสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา เพื่อขอความช่วยเหลือทางด้านกฎหมาย ซึ่งสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมาพร้อมให้การช่วยเหลือทางด้านคดีอย่างเต็มที่ โดยพร้อมต่อสู้คดีในชั้นศาล
นายพรเทพ เจริญพงศ์อนันต์ ประธานสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า จากการศึกษาข้อกฎหมายเคยมีคดีคล้ายกับคดีดังกล่าว โดยศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาตัดสินว่า เงินที่ได้มาเป็นลาภมิควรได้ ซึ่งผู้ที่ได้มาต้องใช้คืนเงินในส่วนที่เหลือ แต่หากไม่เหลือก็ไม่จำเป็นต้องใช้คืน ซึ่งคดีนี้สภาทนายความจังหวัดนครราชสีมาพร้อมให้การช่วยเหลือครอบครัวผู้สูงอายุในการต่อสู้คดี โดยที่ไม่ต้องมีการเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด เพื่อให้คดีนี้เป็นคดีตัวอย่าง
ทั้งนี้คดีดังกล่าวศาลแขวงจังหวัดนครราชสีมาได้นัดฝ่ายจำเลย คือ ผู้ถูกเรียกคืนเงิน และฝ่ายโจทก์ คือ เทศบาลตำบลจอหอ ไปพบที่ศาลเพื่อการไกล่เกลี่ย ให้การแก้ข้อหาแห่งคดี และสืบพยานในวันที่ 18 ก.พ.64 นี้
ขณะที่ที่สำนักงานเทศบาลตำบลจอหอฯ นายเสรี ไชยกิตติ นายกเทศมนตรีตำบลจอหอ กล่าวว่า เมื่อปี 2562 ทางกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังได้มีหนังสือแจ้งมาว่าในพื้นที่ตำบลจอหอ อำเภอเมืองนครราชสีมา มีผู้สูงอายุที่ขาดคุณสมบัติได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุอยู่ทั้งหมดจำนวน 13 ราย เนื่องจากได้รับเงินบำนาญตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว ต่อมาทางเทศบาลตำบลจอหอ ก็ได้ทำหนังสือไปเชิญทั้ง 13 รายมาสอบถามก็ได้รับการยืนยันว่า ทุกคนได้รับเงินบำนาญจริง ทางเทศบาลฯ จึงได้ส่งเรื่องไปให้กรมบัญชีกลางทราบ
กระทั่งปลายปี 2563 ทางกรมบัญชีกลางก็มีหนังสือให้ทางเทศบาลเรียกเก็บเงินเบี้ยยังชีพคืน ซึ่งก็มีผู้สูงอายุจำนวน 9 รายที่ยอมคืนเบี้ยยังชีพ โดยบางรายที่มียอดเงินน้อยไม่กี่หมื่นบาท ก็ขอคืนทั้งหมดในคราวเดียว ขณะที่บางรายที่มียอดเงินหลายหมื่นบาทถึง 1 แสนกว่าบาท ก็พร้อมที่จะผ่อนชำระตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนอีก 4 ราย แสดงความประสงค์ไม่คืนเงิน ทางเทศบาลฯ จึงมีความจำเป็นต้องส่งเรื่องฟ้องต่อศาลแขวงนครราชสีมา เพื่อให้พิจารณาดำเนินคดีทางแพ่งต่อไป ตนขอยืนยันว่ากรณีนี้ไม่ได้เป็นการเลือกปฏิบัติ และไม่ได้มีการกลั่นแกล้งใด ๆ แม้ในความเป็นจริงก็ไม่ได้อยากฟ้องศาล แต่หากไม่ฟ้องก็จะโดนข้อหาละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157 ตามประมวลกฎหมายอาญา
โดยทางด้านนางสาววรรณภา สารเป็น อายุ 28 ปีบุตรสาวของนางสัมฤทธิ์ ภู่สว่าง อายุ 83 ปี ชาวบ้านหมู่ที่4 ตำบลจอหอ อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วยนางสาว สมหมาย สมบูรณ์รัมย์ อายุ 60 ปี บุตรสาวของนางก่วง สมบูรณ์รัมย์ อายุ 83 ปี ชาวบ้านหมู่ที่ 3 ตำบลจอหอ ออกมาเปิดเผยว่า ถูกทางเทศบาลตำบลจอหอ เรียกเก็บคืนเงินสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ โดยนางสัมฤทธิ์ และนางก่วง ได้รับเงินบำนาญพิเศษจากสามีที่เสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่และถูกเรียกคืนเงินสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุย้อนหลังเช่นเดียวกัน ซึ่งล่าสุดนางสัมฤทธิ์ และนางก่วง ถูกหมายเรียกจากศาลแขวงนครราชสีมา เพื่อการไกล่เกลี่ย การแก้ข้อหาแห่งคดี และสืบพยาน ในวันที่ 18 ก.พ.นี้
นางสัมฤทธิ์ ภู่สว่าง อายุ 83 ปี กล่าวว่า ตนถูกเรียกคืนเงินสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ตั้งแต่ เม.ย.2549 ถึง พ.ย.2563 รวมแล้วเป็นระยะเวลานานกว่า 14 ปีรวมเป็นเงินพร้อมดอกเบี้ย จำนวน 83,383 บาท ส่วนนางก่วง สมบูรณ์รัมย์ อายุ 83 ปี ถูกเรียกคืนเงินสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ตั้งแต่ เม.ย.2549 จนถึง พ.ย.2563 เป็นระยะเวลากว่า 14 ปีเช่นเดียวกัน เมื่อรวมเงินพร้อมดอกเบี้ยแล้วจะอยู่ที่ 84,673 บาท
ส่วนนางสาววรรณภา สารเป็น บุตรสาวของ นางสัมฤทธิ์ ภู่สว่าง หนึ่งในผู้ถูกเรียกคืนเงินสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ บอกว่า ครั้งแรกที่เห็นหนังสือเรียกทวงคืนเงินสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุของแม่ ทุกคนในครอบครัวต่างตกใจอย่างมาก เพราะแม่ของตนไม่ได้ตั้งใจไปยื่นเรื่องขอรับเงินตั้งแต่ตอนแรก แต่มีเจ้าหน้าที่ของเทศบาลตำบลจอหอ เป็นผู้ดำเนินการเรื่องเอกสารให้ทุกอย่าง ซึ่งแม่ของตนไม่รู้เรื่องกฎหมาย และคิดว่าเป็นเงินส่วนที่ตนพึงจะได้ กระทั่งมีหนังสือเรียกขอคืนเงินดังกล่าว
หลังจากได้รับหนังสือ ตน พาแม่ เข้าไปติดต่อกับทางเทศบาล โดยเจ้าหน้าที่บอกว่าให้จ่ายเงินคืน 3 เดือนแรก งวดละ 18,000 บาท จากนั้นให้ทยอยผ่อนชำระในส่วนที่เหลือ อีกประมาณเดือนละ 1,000 บาท หากจะให้ชำระเป็นเงินก้อน ตนก็คงไม่ไหว ในวันที่ 18 ก.พ.นี้ ตนและแม่จะเดินทางไปที่ศาลแขวงนครราชสีมา เพื่อขอให้ศาลช่วยพิจารณาและมอบความเป็นธรรมแก่ตนและแม่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี