ผู้สูงอายุสูงเฮ!
มติผู้ตรวจการแผ่นดินสั่ง
แก้ไขระเบียบมท.ใน120วัน
รับบำนาญพิเศษ-เบี้ยยังชีพ
มติผู้ตรวจการแผ่นดินสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แก้ไขระเบียบ มท.ผู้สูงอายุ คนชราที่ได้รับบำนาญพิเศษไม่เสียสิทธิ์รับ “เบี้ยยังชีพ” เร่งทำให้เสร็จภายใน 120 วันชี้เจตนารมณ์เงินบำนาญพิเศษเพื่อตอบแทนคุณผู้ทำประโยชน์เพื่อประเทศ ถือเป็นคนละก้อน “วิษณุ” การันตีไม่มีคนแก่ติดคุก ปมรับเงิน 2 ทาง เผยคัดกรองมีปัญหาราว 6 พันคน ต้องตรวจสอบรับสิทธิ์โดยสุจริตหรือไม่ เผยหลังเป็นข่าวมีคนตกใจคืนแล้ว 130 ล้าน
เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินพร้อม นายวทัญญู ทิพยมณฑา รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินและนายเมธี มั่นคง ผู้อำนวยการสำนักสอบสวน1 สำนักผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ประชุมหารือร่วมกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ พล.ต.อรรถพล แผ้วพาลชน หัวหน้าอัยการทหาร กระทรวงกลาโหม นางแก้วกาญจน์ วสุพรพงศ์ รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง น.ส.ทิวาพร ผาสุข ผู้อำนวยการกองบริหารการรับ-จ่ายเงินภาครัฐ กระทรวงการคลัง นายกฤษดา สมประสงค์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและคุณภาพชีวิต กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย และนางอภิญญา ชมพูมาศ รองอธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนกรณีการเรียกคืนเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ได้รับซ้ำซ้อนกับเงินบำนาญพิเศษ
ภายหลังการประชุม พล.อ.วิทวัส กล่าวว่า ตามที่ นายศรีสุวรรณ จรรยา ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนขอให้พิจารณาหาแนวทางแก้ไขปัญหากรณีกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้มีหนังสือแจ้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในหลายจังหวัดเรียกคืนเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เนื่องจากได้รับเงินบำนาญพิเศษตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ก่อนแล้ว ทำให้ผู้สูงอายุที่ถูกเรียกคืนเงินดังกล่าวเดือดร้อนกันทั่วประเทศวันนี้จึงได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุม เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงและหาทางออกร่วมกัน
“โดยผู้ตรวจการแผ่นดินมีมติว่า ตามพ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.2494ระบุว่าเจตนารมณ์การจ่ายเงินบำนาญพิเศษ เพื่อตอบแทนข้าราชการและพลเรือนที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติ ซึ่งได้รับอันตรายพิการ ทุพลภาพ เสียชีวิต โดยบิดา มารดาจะได้รับเงินดังกล่าวจนเสียชีวิต เงินบำนาญพิเศษถือเป็นเงินคนละก้อนกับ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ดังนั้น ผู้สูงอายุที่ได้รับเงินบำนาญพิเศษจึงมีสิทธิที่จะได้รับเงินทั้ง 2 ก้อน ดังนั้น การประชุมวันนี้ทางผู้ตรวจการแผ่นดิน จึงอาศัยมาตรา 33 ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน 2560มีข้อเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการปรับปรุงแก้ไขระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่า ด้วยการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2552 ให้คนที่ได้รับเงินบำนาญพิเศษ ได้เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุด้วย โดยหวังว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการโดยเร็ว ซึ่งตามกฎหมายต้องแล้วเสร็จภายใน 120 วัน”ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ย้ำ
พร้อมกล่าวย้ำว่าในส่วนผู้ที่ได้รับเงินไปแล้ว ต้องไปกำหนดในบทเฉพาะกาล ว่า”ถือเป็นการได้โดยสุจริต”และเมื่อเทียบเคียงกับคำพิพากษาศาลฎีกา หมายเลขคดีที่10850 ซึ่งถือว่า”เป็นลาภที่ไม่ควรได้ก็ไม่ต้องไปเรียกเงินคืนจากบุคคลนั้นๆ”และสำหรับบุคคลที่นำเงินมาคืนภาครัฐแล้ว ถือว่าท่านแสดงสิทธิเจตนารมณ์ที่จะมาคืน ไม่ได้อยู่ในฐานะที่เดือดร้อน หรือ เป็นผู้มีรายได้น้อย ก็แสดงว่ามีเจตนาว่าจะไม่รับเงินก้อนนี้
เวลา14.50น.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ภายหลังหารือกับคณะกรรมการค่าเบี้ยยังชีพ ถึงปัญหาการจ่ายเบี้ยยังชีพคนชราที่ซ้ำซ้อนว่าที่ประชุมไม่ได้มีมติใดๆเนื่องจากเป็นเพียงการรับฟังสรุปจากหน่วยงานต่างๆเท่านั้น และที่ประชุมครั้งนี้ไม่ได้มีอำนาจสั่งการใดๆตนแค่ต้องการรับฟังความก้าวหน้าของแต่ละหน่วยงาน โดยผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจทั้งหมดสุดท้ายคือ คณะรัฐมนตรี (ครม.)แต่เบื้องต้นสามารถตอบคำถามได้ 3 เรื่อง คือ 1.จะไม่มีการดำเนินคดีอาญากับผู้สูงอายุที่ไม่คืนเบี้ยยังชีพคนชรา โดยเรื่องนี้ไม่เคยดำเนินการในอดีตและจะไม่ดำเนินการในอนาคตด้วย เนื่องจากการดำเนินคดีอาญาจะต้องตั้งข้อหาฉ้อโกง แต่คนเหล่านี้ไม่ได้มีพฤติกรรมฉ้อโกง ดังนั้น จะไม่มีผู้ใดที่จะติดคุก
2.การรับผิดทางแพ่งหรือ การคืนเงิน สรุปง่ายๆ หากได้มาโดยสุจริตไม่ต้องคืน ซึ่งหลักมีอยู่แล้ว แต่ถ้าเงินยังเหลืออยู่จะต้องคืน หากไม่เหลืออยู่ก็ไม่ต้องคืน ส่วนกรณีถ้ามีเงินเหลือยู่ แต่ไม่ใช่เงินที่ได้รับจากเบี้ยยังชีพคนชราไม่ต้องคืน ส่วนแต่ละรายจะสุจริตหรือไม่ จะดูเป็นรายบุคคล มีผู้อยู่ในข่ายเช่นนี้ที่จะต้องถูกไต่สวนทวนพยานว่าสุจริตหรือไม่ ประมาณ 6,000 คนทั่วประเทศ
“ถ้าเป็นเช่นนี้การปล่อยให้เป็นคดีอาญา6,000คดีทั่วประเทศ คดีจะรกโรงรกศาล เป็นภาระอัยการในฐานะโจทก์ เป็นภาระของคุณตา คุณยาย ในฐานะจำเลยที่จะต้องไปจ้างทนาย เขากินไม่ได้ นอนไม่หลับ เป็นทุกข์ จึงกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดคดีอาญา ดังนั้น อย่าไปคิดเลยว่าจะมีการฟ้อง”นายวิษณุระบุ
นายวิษณุ กล่าวว่า และ3.เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งรับผิดชอบจ่ายเงินดังกล่าว จะมีส่วนต้องรับผิดด้วยหรือไม่ เป็นเรื่องที่จะต้องดูอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้สูงอายุบางส่วนที่รับเงินเบี้ยยังชีพคนชราและซ้ำซ้อนกับเงินสวัสดิการอื่น ก่อนหน้านี้มีทั้งหมด 15,300 คน ที่สุดแล้วเมื่อตรวจสอบรายละเอียดเหลือผู้สูงอายุที่รับเงินซ้ำซ้อนประมาณ 6,000 คน ส่วนนี้จำเป็นที่ต้องหยุดจ่ายเงินเบี้ยยังชีพคนชราไว้ก่อน แต่ยืนยันว่าไม่นาน โดยปกติผู้สูงอายุจะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐ 3 ส่วนคือ เบี้ยยังชีพคนชรา หากเจ็บป่วยจะได้รับเบี้ยผู้พิการ ถ้าฐานะยากจนจะได้บัตรคนจนด้วย ซึ่งระเบียบของเบี้ยคนพิการและบัตรคนจนไม่ได้ห้ามรับเงินบำนาญ จึงไม่มีปัญหา ฉะนั้น จึงเหลือเบี้ยยังชีพคนชราอย่างเดียวที่ต้องไปแก้ไข และหยุดจ่ายส่วนนี้ไปก่อน
“ขอให้ผู้สูงอายุสบายใจได้ว่า ไม่ติดคุกแน่ นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลระบุว่ามีผู้สูงอายุที่รู้ข่าวแล้วตกใจ จึงรีบเอาเงินมาคืน มียอดรวมทั้งหมด130ล้านบาท ส่วนจะต้องพิจารณาคืนเงินกลับไปให้ผู้สูงอายุที่คืนเงินมาแล้วหรือไม่นั้นโดยหลักเรื่องลาภที่มิควรได้ เมื่อคุณเอามาคืนและถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นจะมาขอคืนไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นการชำระหนี้ และถือว่ารัฐรับกลับคืน เว้นแต่จะผ่อนผันให้ ซึ่งเป็นเรื่องที่กำลังคิดอยู่”
เมื่อถามว่าในอนาคตมีแนวคิดที่จะทำให้ผู้สูงอายุรับเงินได้ทั้งสองทางหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ขอตอบเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องของนโยบาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี