กรมส่งเสริมการเกษตร ชวนเกษตรกรหยุดเผาพื้นที่การเกษตรเพื่อลดปัญหามลพิษ ปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการเศษวัสดุทางการเกษตรเพื่อช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์และคืนชีวิตให้ดินและสร้างมูลค่าเพิ่ม จากการนำวัสดุเหลือใช้จากพื้นที่การเกษตรไปใช้ประโยชน์
นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมการเกษตรมีแนวทางในการดูแลปัญหาเรื่องการเผาในพื้นที่เกษตร โดยการสร้างและพัฒนาเครือข่ายเกษตรปลอดการเผา เพื่อเร่งรัด จัดการ และแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม ที่นอกจากจะทำให้เกิดมลพิษและหมอกควันทำลายชั้นบรรยากาศของโลกแล้ว ยังเป็นการทำลายอินทรียวัตถุ ธาตุอาหาร และโครงสร้างดิน ทำให้ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ ทำให้ผลผลิตลดต่ำลง และมีต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น โดยการนำร่องสาธิตการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้จากภาคการเกษตรเพื่อลดปัญหาการเผาในพื้นที่การเกษตร มาตั้งแต่ ปี 2547 เป็นต้นมา มีกลยุทธ์หลักในการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในสภาพปัญหาที่เกิดจากการเผา แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา และนำเสนอทางเลือกในการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้จากภาคการเกษตร เพื่อสร้างให้เกิดการปรับเปลี่ยนทัศนคติและจิตสำนึกของเกษตรกรให้ตระหนักถึงผลเสียจากการเผา และมีความรู้ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีการเกษตรทดแทนการเผา นอกจากนี้ ยังได้จัดทำโครงการให้ความรู้แก่เกษตรกร เน้นให้นำวัสดุเหลือใช้จากพื้นที่การเกษตรไปใช้ประโยชน์อื่นแทนการเผามาอย่างต่อเนื่อง เช่น การทำปุ๋ยหมัก การทำเชื้อเพลิงไว้ใช้ในครัวเรือน การทำวัสดุปลูก รวมถึงยังได้ร่วมบูรณาการกับภาคเอกชนในการผลิตชีวมวลอัดแท่ง โดยรับซื้อฟางอัดก้อน จากเกษตรกร เพื่อนำไปใช้เป็นวัตถุดิบ ในการผลิต และนำชีวมวลที่ได้ ไปใช้ในโรงงาน ปูนซีเมนต์ ของ SCG และร่วมกับบริษัท SCG ซีเมนต์จำกัด และบริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัดในการทำ MOU มอบเครื่องจักรกลการเกษตร เพื่อใช้ในโครงการ “ฟางอัดก้อน ลดการเผา Zero Burn” และฝากถึงเกษตรกรให้ร่วมใจ “หยุดเผา” การหยุดเผาได้ประโยชน์ 5 ดี 1 อากาศดี 2 สุขภาพดี 3 ดินดี4 สิ่งแวดล้อมดี 5 รายได้ดี
ด้านนายกิตติพันธ์ จันทาศรี ผู้อำนวยการกองส่งเสริมโครงการพระราชดำริ การจัดการพื้นที่และวิศวกรรมเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมส่งเสริมการเกษตรได้จัดทำโครงการหยุดเผาในพื้นที่การเกษตร เพื่อแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมที่สร้างปัญหามลพิษและหมอกควัน โดยเริ่มต้นนำร่องจาก 10 จังหวัดภาคเหนือตอนบน และได้ขยายผลครอบคลุม 60 จังหวัดในปัจจุบัน โดยเฉพาะพื้นที่ทำนา ที่เป็นปัญหามากในภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคเหนือ เนื่องจากเกษตรกรมักจะเผาตอซังฟางข้าวเพื่อความสะดวกในการไถเตรียมดินสำหรับการเพาะปลูกในรอบถัดไป รวมถึงพื้นที่ปลูกอ้อยในภาคกลาง และภาคอีสาน ที่เกษตรกรมักจะเผาใบอ้อย เพื่อความสะดวกในการตัดอ้อย และพื้นที่บนที่สูงทางภาคเหนือ ที่เผาพื้นที่เพราะต้องการทำไร่ข้าวโพด เป็นต้น โดยกรมส่งเสริมการเกษตรได้เข้าไปส่งเสริมให้ความรู้พื้นฐานด้านการหยุดเผาและชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่เกิดจากการเผาในพื้นที่การเกษตร นำเสนอทางเลือกและสาธิตการใช้เทคโนโลยีการเกษตรทดแทนการเผาแก่เกษตรกร เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติและจิตสำนึกของเกษตรกรให้ยอมรับการทำการเกษตรแบบปลอดการเผา ส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่มของเกษตรกรเพื่อสร้างเครือข่ายเกษตรกรปลอดการเผา โดยคัดเลือกและแต่งตั้งผู้แทนเกษตรกรเพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่การเกษตรของพื้นที่นำร่อง วิเคราะห์ปัญหา ความพร้อมของชุมชน และจัดทำแผนชุมชนด้านการแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่เกษตร รวมทั้งสร้างมาตรการทางสังคม กฎ ระเบียบ ข้อตกลงของชุมชนเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหา ตลอดจนประมวลสรุปองค์ความรู้/ภูมิปัญญาท้องถิ่น และกำหนดแผนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาวิธีการผลิต มุ่งสู่การทำการเกษตรปลอดการเผา เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังได้นำเสนอทางเลือกวิธีต่างๆ ให้เกษตรกรดำเนินการเพื่อทดแทนการเผา โดยใช้วิธีการนำร่องส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีทดแทนการเผา ทำเป็นจุดเรียนรู้ให้เกษตรกรมีส่วนร่วมและเข้าถึงเทคโนโลยีทดแทนการเผาต่างๆ ตามบริบทของแต่ละพื้นที่ ยกตัวอย่าง เช่น ให้หยุดเผา และหันมาทำการไถกลบตอซังฟางข้าว ใบอ้อย หรือเศษซากพืช เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน คืนชีวิตให้ดิน เพราะถ้าดินดี เกษตรกรก็จะได้รับผลผลิตสูง มีรายได้เพิ่มขึ้น โดยในปี 2563 พบว่ามีเกษตรกรปรับเปลี่ยนมาไถกลบตอซัง 3,858,622 ไร่ สามารถลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยเคมีได้ 837,320,974 บาท (คิดเป็นมูลค่า N P K 217 บาท/ไร่) รวมถึงแนะนำให้นำเศษตอซังฟางข้าว หรือเศษวัสดุการเกษตรอื่นๆ ที่เหลือทิ้งในแปลงเพาะปลูก มาทำปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมัก เพื่อใช้ทดแทนปุ๋ยเคมีทำให้ลดต้นทุนการผลิต และลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งในปี 2563 สามารถผลิตปุ๋ยอินทรีย์ได้ 52,358,652 กิโลกรัม สร้างรายได้ 209,434,608 บาท (ราคาขาย 4 บาท/กก.)นำเศษวัสดุการเกษตร มาใช้เลี้ยงสัตว์ เช่น นำมาอัดก้อน หรือนำมาทำอาหารหมักเพื่อใช้เลี้ยงโค โดยในปี 2563 พบว่าสามารถผลิตฟางอัดฟ่อนได้ประมาณ 508,584,994 กิโลกรัม (37,027,751 ก้อน) สร้างรายได้ 1,110,832,530 บาท (ราคาขาย 30 บาท/ก้อน) นอกจากนี้ ยังนำมาใช้ประโยชน์ทางด้านพลังงาน เป็นพลังงานทดแทน เช่น นำผลิตเป็นเชื้อเพลิงอัดแท่ง หรืออัดก้อน เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง ให้ความร้อนในการผลิตทางกระบวนการอุตสาหกรรมหรือนำมาใช้ทำอาหารในครัวเรือน ซึ่งในปี 2563 พบว่าสามารถนำเศษวัสดุทางการเกษตรมาผลิตถ่านอัดแท่งได้ประมาณ 24,048 กก. สร้างรายได้ 480,960 บาท (ราคาขาย 20 บาท/กก.) หรือจะนำมาเพาะเห็ดนำฟางมาเป็นวัสดุเพาะเห็ด 386,633 กก. สร้างรายได้ 57,994,950 บาท(ราคาขาย 150 บาท/กก.) หรือจะนำมาผลิตของใช้ หรือของประดับก็ได้เช่นกัน
“อยากให้เกษตรกรให้คำนึงถึงผลกระทบจากการเผาเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรแล้วปรับเปลี่ยนมาใช้ประโยชน์จากเศษวัสดุเหล่านี้ให้เป็น เพราะจะช่วยลดต้นทุนการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกษตรกรได้อีกหลายเท่าตัว” นายกิตติพันธ์ กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี