27 กุมภาพันธ์ 2564 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ผ่านทางเฟซบุ๊ก "Thira Woratanarat" มีเนื้อหาดังนี้....
สถานการณ์ทั่วโลก 27 กุมภาพันธ์ 2564...
เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 441,586 คน รวมแล้วตอนนี้ 113,940,423 คน ตายเพิ่มอีก 10,118 คน ยอดตายรวม 2,527,576 คน
อเมริกา เมื่อวานติดเชิ้อเพิ่ม 78,685 คน รวม 29,118,261 คน ตายเพิ่มอีก 2,158 คน ยอดตายรวม 522,608 คน
อินเดีย ติดเพิ่ม 16,056 คน รวม 11,079,094 คน
บราซิล ติดเพิ่ม 65,169 คน รวม 10,455,630 คน
รัสเซีย ติดเพิ่ม 11,086 คน รวม 4,223,186 คน
สหราชอาณาจักร ติดเพิ่มอีก 8,523 คน รวม 4,163,085 คน
อันดับ 6-10 เป็น ฝรั่งเศส ตุรกี อิตาลี สเปน และเยอรมัน ส่วนใหญ่ติดกันหลายพันถึงหลายหมื่นต่อวัน
แถบอเมริกาใต้ ยุโรป เอเชีย อย่างโคลอมเบีย เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ ยูเครน แคนาดา รวมถึงอิหร่าน บังคลาเทศ อิสราเอล สหรัฐอาหรับอีมิเรตส์ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ยังติดกันเพิ่มหลักพันถึงหลักหมื่น
แถบสแกนดิเนเวีย บอลติก และยูเรเชีย ก็ยังมีติดเชื้อเพิ่ม ส่วนใหญ่หลักร้อยถึงพันกว่า
เกาหลีใต้ติดเพิ่มหลักร้อย ส่วนสิงคโปร์ ไทย ฮ่องกง เมียนมาร์ ออสเตรเลีย และกัมพูชา ติดเพิ่มหลักสิบ ในขณะที่จีน เวียดนาม และนิวซีแลนด์ ติดเพิ่มต่ำกว่าสิบ
...เมื่อคืนนี้มีอัพเดตหลายเรื่องจากทางอเมริกา...
1. "สายพันธุ์ของไวรัสที่กลายพันธุ์"
ขณะนี้ไวรัสโควิด-19 ที่กลายพันธุ์ และระบาดมากขึ้นเรื่อยๆ ในอเมริกามีหลายตัว
สายพันธุ์สหราชอาณาจักร B.1.1.7 นั้นคาดว่าจะเป็นสายพันธุ์หลักที่ครองการระบาดในอเมริกาภายใน 23 มีนาคม
โดยจะเป็นสายพันธุ์หลักในฟลอริด้าตอนวันที่ 8 มีนาคม และในแคลิฟอร์เนียในวันที่ 5 เมษายน
ในขณะที่อีกสองสายพันธุ์คือ แอฟริกาใต้ B.1.135 และบราซิล P.1 นั้นก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลมากเพราะดื้อต่อภูมิคุ้มกันที่กระตุ้นโดยวัคซีนที่มีอยู่หลายชนิด ดังที่เห็นการระบาดในแซมเบียและ Manaus
นอกจากนี้ยังมีการกลายพันธุ์ที่นิวยอร์ก B.1.526 และแคลิฟอร์เนีย B.1.426/B.1.429 ที่ดูมีการระบาดขยายตัวมากขึ้น และกำลังติดตามอย่างใกล้ชิด
2. "วัคซีนสำหรับหญิงตั้งครรภ์"
จากระบบฐานข้อมูล V-Safe และ VAERS พบว่า ตอนนี้มีหญิงตั้งครรภ์ที่รับวัคซีนโควิด-19 ไปแล้วจำนวน 1,815 คน ยังไม่พบปัญหาที่น่ากังวลใจเรื่องความปลอดภัย
อัตราการเกิดอาการแพ้วัคซีนไม่ได้แตกต่างจากประชากรทั่วไปที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ และอัตราการเกิดการแท้งก็ไม่ได้แตกต่างจากหญิงตั้งครรภ์ปกติทั่วไป
3. "อัพเดตข้อมูลเกี่ยวกับการแพ้รุนแรงแบบ anaphylaxis สำหรับวัคซีน Pfizer/Biontech และ Moderna"
ล่าสุดหลังจากมีการฉีดในประชากรจำนวนมากขึ้น พบว่า Pfizer/Biontech เกิดการแพ้รุนแรงแบบ anaphylaxis 4.5 คนต่อการฉีดวัคซีน 1,000,000 โดส ซึ่งถือว่าน้อยกว่าเดิมที่เคยรายงานไว้ที่ 11.1
ส่วน Moderna ยังมีอัตราเท่าเดิมคือ 2.5 คนต่อการฉีดวัคซีน 1,000,000 โดส
ดังนั้นอัตราการเกิดการแพ้รุนแรงนี้จึงถือว่าน้อยมาก
4. "วัคซีน Johnson&Johnson"
ทาง US FDA ลงมติเอกฉันท์ 22:0 ว่า หากพิจารณาจากข้อมูลหลักฐานทั้งหมดที่มีอยู่ ประโยชน์ที่จะได้จากการฉีดวัคซีนนี้มากกว่าความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น สำหรับประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
ขั้นตอนต่อไปคือ ทาง US FDA จะพิจารณาอนุมัติให้ใช้วัคซีนนี้ในภาวะฉุกเฉิน (Emergency use authorization) และทาง US CDC จะออกคำแนะนำในการใช้วัคซีน
นอกจากนี้ทาง Johnson&Johnson วางแผนจะทำการวิจัยในวัยรุ่นตั้งแต่สัปดาห์หน้า โดยอาจทำในหลายประเทศ
...หันมามองสถานการณ์ของเรา...
ขอให้ป้องกันตัวอย่างเคร่งครัด
การเลือกรับวัคซีนใดๆ โปรดคำนึงถึงประโยชน์และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยหมั่นหาข้อมูลความรู้ที่ถูกต้อง เพื่อใช้ความรู้เป็นแสงส่องทาง ตัดสินใจด้วยเหตุผล
เพราะเป็นสิทธิของเราทุกคน ที่จะรับหรือไม่รับสิ่งใดๆ ที่ส่งผลต่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิตของเรา
ประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่ล้วนเสาะหาวัคซีนที่มีสรรพคุณสูง และปลอดภัย มาให้แก่ประชาชนของตนเอง เพราะทุกชีวิตล้วนมีคุณค่า
ท้ายที่สุดแล้ว วัคซีนที่ทุกคนปรารถนาคือ วัคซีนที่มีสรรพคุณในการป้องกันทั้งการติดเชื้อแบบมีอาการ ป้องกันความรุนแรงของโรคและลดอัตราเสียชีวิต ป้องกันการติดเชื้อแบบไม่มีอาการได้ มีสรรพคุณในการสู้กับสายพันธุ์ที่กลายพันธุ์และกำลังระบาดหนักขึ้น นอกจากนี้คือการมีข้อมูลที่โปร่งใส ชัดเจน ตรวจสอบได้ และมีความปลอดภัยสูง
ด้วยรักและปรารถนาดี
ป.ล.ตารางวัคซีนนี้อัพเดตล่าสุดวันนี้ 27 กุมภาพันธ์ 2564 เพิ่มข้อมูลความปลอดภัยของวัคซีน Pfizer/Biontech ตามที่รายงานในการประชุม US FDA เมื่อคืนนี้
และอีกหนึ่งโพสต์ ระบุข้อความว่า
การตัดสินใจเชิงนโยบายนั้นต้องตามมาด้วยความรับผิดชอบ
พื้นที่ ดินแดน หรือประเทศใดๆ ที่ตัดสินใจปล่อยให้เกิดการติดเชื้อกันไปเรื่อยๆ จะโดยการกันพื้นที่ หรือใช้คำสวยหรูอื่นใดก็แล้วแต่
การแพร่เชื้อต่อกันไปนั้น หากคิดแบบตื้นๆ เพื่อหวังจะให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ได้รับการพิสูจน์ให้เห็นหลายแห่งหลายประเทศแล้วว่า ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง
แต่ผลกระทบที่อาจตามมาคือ
หนึ่ง พื้นที่นั้น ดินแดนนั้น อาจกลายเป็นแหล่งชุกชุมของโรค หรือแดนดงโรค (endemic area) นอกจากผลโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชนแล้วยังตีตราว่าเป็นดินแดนที่น่ากลัว และทำให้ภาพลักษณ์ระยะยาวเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
สอง มีโอกาสเกิดการกลายพันธุ์ของเชื้อ และแพร่ระบาดหนักได้ในเวลาไม่นาน ยากต่อการควบคุม
สาม อาจเกิดหายนะแบบโดมิโน่ต่อระบบการใช้ชีวิตของประชาชนในท้องถิ่น ส่งผลกระทบต่อสภาพสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ
เมื่อทราบโอกาสที่จะเกิดผลกระทบต่างๆ แล้ว คนชงและคนตัดสินใจระดับใดก็แล้วแต่ในดินแดนพื้นที่ใดก็ตามที่มีส่วนร่วมในการดำเนินนโยบายดังกล่าวไป คงมีทางเลือกเพียงสองทางคือ "ยกเลิกการทำและตะลุยตรวจเพื่อหยุดยั้งให้ได้"
หรือ "เตรียมตัวเตรียมใจยืดอกรับผิดชอบกับผลกระทบที่ตามมา อย่าเปิดตูดหนีหายแบบที่ทำกันจนคุ้นชิน"
...หลักคิดดังกล่าวข้างต้นนั้น เป็นสิ่งที่ทุกประเทศต้องพึงระวังอย่างยิ่งในการจัดการกับโรคระบาด...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี