ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการจัดเสวนาเรื่อง “ชีวิตหนี้...นิยามใหม่การปรับตัวชาวนายุคโควิด-19” ที่ รร.รามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ ซึ่งภายในงานได้กล่าวถึงผลสำรวจ “สุขภาพการเงินครัวเรือนเกษตรกรไทย” ระหว่างเดือน มี.ค. 2563 โดย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า “ครัวเรือนชาวนาส่วนใหญ่มีภาวะหนี้สินสูง เฉลี่ย 3.4 ก้อนและมีหนี้คงค้างเฉลี่ย 416,143 บาทต่อครัวเรือน” โดยครัวเรือนร้อยละ 50 มีหนี้สินคงค้างเกิน 300,000 บาท และร้อยละ 30 มีหนี้สินคงค้างเกิน 600,000 บาท
หนี้ของชาวนานั้นมาจาก 3 แหล่งหลัก คือ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สหกรณ์และกองทุนหมู่บ้าน และหนี้นอกระบบ ขณะที่ผลการศึกษาในปี 2563 โดย สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า “สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้เงินโอนจากสมาชิกในครัวเรือนชาวนาลดลง” จากปกติเฉลี่ยเดือนละ5,309 บาท เหลือเพียงเฉลี่ยเดือนละ 2,541 บาท ครัวเรือนเกษตรเกือบร้อยละ 60 จึงเริ่มมีปัญหาการชำระหนี้
เพ็ญนภา หงษ์ทอง นักวิจัยอิสระ กล่าวว่าถึงปัญหา “หนี้นอกระบบ” ของเกษตรกร ว่า เกษตรกรไม่มีความรู้เรื่องกฎหมายและไม่ตระหนักถึงสิทธิในกระบวนการยุติธรรมผลสุดท้ายจึงจบลงด้วยการประนีประนอมที่ฝ่ายโจทก์หรือเจ้าหนี้ เป็นฝ่ายได้เปรียบแต่เกษตรกรผู้เป็นลูกหนี้ไม่ได้รับความเป็นธรรม หากเกษตรกรมีนักกฎหมายคอยช่วยเหลือแนะนำจะช่วยให้เกิดการประนีประนอมที่เป็นธรรมมากขึ้น
เดชรัต สุขกำเนิด อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แนะ 3 ข้อ ที่ต้องปรับปรุงเพื่อแก้ไขปัญหา ได้แก่ 1.ปรับแก้กติกาหรือสัญญาสินเชื่อ ระบบติดตาม และบังคับหนี้สินให้เป็นธรรม เช่น กำหนดให้สถาบันการเงินแสดงรายละเอียดการคำนวณดอกเบี้ยค้างชำระ ดอกเบี้ยปรับและค่าธรรมเนียมอื่นๆ ให้ชัดเจนและโปร่งใส ต้องเข้มงวดกับการห้ามทำสัญญาเงินกู้ใหม่ที่รวบเอาเงินต้นและดอกเบี้ยเดิมมาเป็นยอดเงินต้นก้อนใหม่
2.ต้องมีการเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อปรับโครงสร้างหนี้สินโดยกลไกปกติ การเพิ่มแรงจูงใจของสถาบันการเงินและลูกหนี้ในการเข้าร่วมไกล่เกลี่ยหนี้สิน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการฟ้องร้องดำเนินคดี และ 3.ต้องเพิ่มทางเลือกและขีดความสามารถในการชำระหนี้ของเกษตรกร เช่น การเข้าถึงตลาดที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นและมีความแน่นอนมากขึ้น การจัดการโครงสร้างการผลิตให้สามารถจัดการความเสี่ยงต่างๆ ได้มากขึ้น รวมถึงมีช่องทางเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อปรับโครงการสร้างการผลิตและการตลาด
จารุวัฒน์ เอมซ์บุตร SIAMLab คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ให้เห็นว่า “ปัจจัยส่วนบุคคลของตัวเกษตรกร เช่น ความซื่อสัตย์ การใจสู้ และครอบครัวที่คอยสนับสนุนมีผลต่อการชำระหนี้” พร้อมกับต้องหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อหารายได้เสริม ประหยัดต้นทุน และเรียนรู้วิธีบริหารจัดการทรัพย์สิน ทั้งนี้บทบาทของผู้นำกลุ่มกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรยังมีส่วนสำคัญมากอีกด้วย จึงเสนอให้ “ภาครัฐต้องจัดทำแนวทางพัฒนาเกษตรกรใน 3 ด้าน เพื่อช่วยแก้ปัญหาหนี้สิน” ได้แก่ ด้านการสื่อสาร ด้านทุนสนับสนุน และด้านข้อมูลข่าวสาร
ผศ.ดร.ชญานี ชวะโนทย์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า “ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกษตรกรติดอยู่ในวงจรหนี้สินคือการมีผลิตภัณฑ์หรือสินเชื่อทางการเงินที่ไม่เหมาะสมกับลักษณะอาชีพ” ดังนั้น สินเชื่อและการชำระหนี้ของเกษตรกรควรมีความยืดหยุ่น เช่น ชำระตามรอบการผลิตเพื่อให้รอบรายรับกับรายจ่ายในการทำเกษตรได้สอดคล้องกันมากขึ้น หรือมีการกำหนดแรงจูงใจอย่างการลดดอกเบี้ยบางส่วน
การลดต้นลดดอก หรือมีรางวัลให้กับเกษตรกรที่สามารถจ่ายคืนหนี้ได้ก่อนครบกำหนดชำระในเดือนมีนาคมสำหรับหนี้ ธ.ก.ส. เป็นต้น นอกจากนี้ ยังต้องให้องค์ความรู้การบริหารจัดการหนี้สินแก่เกษตรกร การจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย รวมถึงเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอย่างการทำประกันภัยพืชผลหรือการใช้เทคโนโลยีเก็บข้อมูลในพื้นที่มาประมวลผลเพื่อคำนวณแนวโน้มผลผลิตในแต่ละรอบการผลิต
“การเปลี่ยนแปลงวิธีการผลิต” ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญในการแก้ปัญหาหนี้สินของเกษตรกร ดังที่ เกียรติศักดิ์ ยั่งยืน นักวิชาการอิสระ ให้ความเห็นว่า เกษตรกรจะออกจากวงจรหนี้หรือบรรเทาลงได้ต้อง 1.ปรับการผลิตสู่ระบบอินทรีย์ ตั้งแต่การบริหารจัดการการใช้ประโยชน์ที่ดิน ปรับระบบเกษตรกรรมสู่การทำนาอินทรีย์ ปรับตัวสู่การเป็นชาวนานักคิดและปรับปรุงพันธุ์ข้าว กับ 2.พัฒนาช่องทางการตลาดผลผลิตอินทรีย์ให้หลากหลาย
ภายในงานยังมีตัวอย่างของ บุญชู มณีวงษ์ กลุ่มพันธมิตรเกษตรกรบ้านนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี และ สุนทร คมคาย กลุ่มเกษตรอินทรีย์เขาไม้แก้ว จังหวัดปราจีนบุรีที่ปรับตัวจนสามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินได้ โดยมีแนวทางคล้ายคลึงกันคือ “การเพิ่มความรู้ด้านการบริหารจัดการเงินและหนี้สิน ลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้เสริมผ่านช่องทางต่างๆ” จนหนี้ที่มีอยู่บรรเทาลงไปมาก
สุนทรแนะนำว่าการทำเกษตรอาจต้องมีหลายช่องทางเพื่อกระจายความเสี่ยงในการจัดการ ตอนกู้ก้อนโตอาจต้องวางแผนใช้หนี้เพราะบางอย่างต้องอาศัยเวลา เช่น การกู้มาพัฒนาแหล่งน้ำหรือที่ดินจะไม่ให้รายได้ในเร็ววัน แต่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่มาก แล้วในวงการเกษตรมันแปรปรวน มีความเสี่ยงสูง ช่วงทำเกษตรแรกๆ ส่วนตัวยอมรับว่า ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ สำคัญสุดคือการตลาด
เราต้องชัดเจนว่า จะปลูกอะไรและขายได้แน่นอน ลดความเสี่ยงว่าจะใช้หนี้ไม่ได้ ทำช่องทางผลิตให้มีความหลากหลายและรู้ว่าจะขายได้เท่าไหร่!!!
มูลนิธิชีวิตไท
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี