1.ประเด็นในการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กนั้น เป็นปัญหาสำคัญที่กระทรวงศึกษาธิการแก้ไขไม่ได้ ซึ่งมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาอยู่ 3 เรื่อง คือ หนึ่ง บริบทหรือเงื่อนไขของสภาพแวดล้อมหรือชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่เป็นอย่างไร และมีเหตุผลให้สมควรควบรวมหรือต้องรักษาโรงเรียนแห่งนั้นเอาไว้หรือไม่สอง กรณีที่มีการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก กระทรวงศึกษาธิการสมควรที่จะต้องดำเนินการอะไรบ้าง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน หรือจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นจากการควบรวมดังกล่าว และสาม กรณีที่ไม่มีการควบรวม และปล่อยโรงเรียนขนาดเล็กให้ดำเนินการเรียนการสอนต่อไป กระทรวงศึกษาธิการจะต้องบริหารจัดการอะไร และอย่างไรบ้าง เพื่อให้โรงเรียนสามารถจัดการเรียนการสอนอย่างมีคุณภาพ และดำรงอยู่ได้
ถ้ากระทรวงศึกษาธิการมีคำตอบและแนวทางในการแก้ไขปัญหาตามประเด็นทั้ง 3 ได้สำเร็จ การควบรวมหรือการคงไว้ของโรงเรียนขนาดเล็ก ก็จะเกิดปัญหาน้อยลง และที่สำคัญคือนักเรียนจะได้รับประโยชน์จากโรงเรียนที่เขาศึกษา (ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนเดิม หรือโรงเรียนใหม่) ดังนั้น ผมจึงถือโอกาสขอแลกเปลี่ยนแนวทางนโยบายต่อโจทย์ทั้ง 3 ดังนี้
2.ประเด็นที่ 1 บริบทหรือเงื่อนไขของสภาพแวดล้อมหรือชุมชนที่โรงเรียนขนาดเล็กตั้งอยู่ แบ่งเป็น 2 กรณีสำคัญ คือ ก. โรงเรียนตั้งอยู่ในชุมชนที่มีความเจริญ การคมนาคมสะดวก และมีโรงเรียน หลายแห่งตั้งอยู่ในชุมชนนั้น หรือในชุมชนข้างเคียง แต่จำนวนนักเรียนในโรงเรียนเหล่านั้นมีน้อย จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม และ ข. กรณีโรงเรียนตั้งอยู่ในถิ่นทุรกันดารห่างไกลไม่มีโรงเรียนอื่นในพื้นที่ใกล้เคียง นักเรียนไม่สามารถเดินทางไปอีกโรงเรียนที่อยู่ห่างไกลได้ ซึ่งปัญหาพื้นฐานคือการคมนาคมระหว่างโรงเรียนไม่สะดวก มีความเสี่ยงต่ออันตรายจากการเดินทาง จนถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทางสูง จึงทำให้นักเรียนไม่สามารถเดินทางไปเรียนที่โรงเรียนใกล้เคียงได้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ จึงเป็นเหตุผลที่จะต้องเก็บรักษาโรงเรียนขนาดเล็กนั้นไว้
ประเด็นที่ 2 กรณีที่ต้องมีการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กสำหรับประเด็นที่กระทรวงศึกษาธิการให้น้ำหนัก ไปอยู่ที่เรื่องการเดินทาง หรือการเคลื่อนย้ายนักเรียนออกจากโรงเรียนที่ถูกควบรวมไปยังโรงเรียนหลัก จึงเกิดการเสนอมาตรการเคลื่อนย้ายนักเรียนขึ้นมา ตั้งแต่การจัดซื้อรถตู้เพื่อรับส่งนักเรียน ไปจนถึงการให้ค่ารถกับนักเรียนเพื่อขึ้นรถรับจ้างในชุมชนไปโรงเรียนได้เอง แต่ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นคือ การจัดซื้อรถตู้ต้องมีคนขับและค่าบำรุงรักษา ไปจนถึงค่าน้ำมันรถปรากฏว่ามาตรการสนับสนุนดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องจนนักเรียนเรียนจบหลักสูตรของโรงเรียนได้หรือปัญหาการจัดงบประมาณเป็นค่ารถให้นักเรียนทำได้เพียง 1-2 ปี แล้วหลังจากนั้นงบประมาณส่วนนั้นก็หายไป และค่ารถไปโรงเรียนจึงต้องตกเป็นภาระของพ่อแม่ผู้ปกครองนักเรียน ส่งผลให้ความน่าเชื่อถือต่อนโยบายจ่ายค่าเดินทางให้นักเรียนในกรณีควบรวมโรงเรียนหมดลง และอีกหนึ่งความกังวลก็คือ นักเรียนต้องเดินทางไปโรงเรียนในอีกชุมชนหนึ่ง ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่นักเรียนจะเดินทางไปไม่ถึงโรงเรียน เช่น การหลบหนีเที่ยว การแวะหาเพื่อนและไม่ไปโรงเรียน จนนำไปสู่การหลุดออกไปจากระบบของโรงเรียน
3.ประเด็นที่ 3 กรณีที่ไม่มีการควบรวม แล้วโรงเรียนขนาดเล็กต้องจัดการเรียนการสอนต่อไป นั่นแสดงว่ามีความจำเป็นที่จะต้องรักษาโรงเรียนนั้นไว้ ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการย่อมทราบดีแล้ว ว่าโรงเรียนขนาดเล็กเหล่านี้มีความขาดแคลนมากมาย ที่สำคัญคือ ขาดแคลนงบประมาณ และขาดแคลนครูซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียน ถ้าการไม่ควบรวมโรงเรียนนี้คือการปล่อยให้โรงเรียนต้องดิ้นรนด้วยการอยู่รอดของตนเอง การอยู่รอดของโรงเรียนดังกล่าวนี้ก็จะไปขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้อำนวยการและครูของโรงเรียน ที่จะขอความร่วมมือกับชุมชน โดยเฉพาะวัด และมูลนิธิ หรือผู้ใจบุญทั้งหลาย ให้ช่วยกันระดมทุนผ่านการบริจาคให้กับกิจกรรมการกุศลที่โรงเรียนจัดขึ้น เช่น การทอดผ้าป่า การขอบริจาค การร่วมลงแรงซ่อมแซมอาคารเรียนหรือห้องน้ำ เป็นต้น
การปล่อยให้โรงเรียนขนาดเล็กที่ไม่ต้องควบรวม ดำเนินการต่อไปเช่นที่สาธยายมานี้ ปัญหาก็คือ ถ้าปีใดไม่สามารถได้รับเงินช่วยเหลือเพียงพอต่อกิจการของโรงเรียน โรงเรียนก็ต้องรับสภาพจัดการเรียนการสอนตามเงื่อนไขหรือข้อจำกัดที่สามารถพอทำได้แก่นักเรียน เช่น การจ้างครูช่วยสอน การซ่อมแซมห้องน้ำ การจัดหาอุปกรณ์การเรียนการสอน เป็นต้น ดังนั้น การปล่อยให้โรงเรียนต้องช่วยเหลือตัวเองเช่นนี้ ท้ายที่สุด โรงเรียนก็ไม่สามารถคงสภาพการเรียนการสอนได้นาน เดี๋ยวก็ต้องปิดโรงเรียนโดยปริยาย
4.สำหรับผมแล้ว การไม่ควบรวมโรงเรียน แต่ก็ไม่ช่วยเหลือโรงเรียนให้สามารถจัดการเรียนการสอนได้ จึงเท่ากับเป็นการปิดโรงเรียนไปโดยปริยาย นี่คือความจริงและชะตากรรมของโรงเรียนขนาดเล็กที่กระทรวงศึกษาธิการปฏิเสธไม่ได้ดังนั้น สิ่งที่กระทรวงควรต้องทำก็คือ การจัดงบประมาณให้โรงเรียนขนาดเล็กสามารถคงสภาพโรงเรียนไว้ได้ เช่นงบประมาณเพื่อการจัดครูช่วยสอนในพื้นที่ ค่าอุปกรณ์การเรียนการสอน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ารักษาความสะอาด และความปลอดภัยของนักเรียน รวมไปถึงค่าอาหารเช้าและอาหารกลางวันที่โรงเรียนสามารถจัดอาหารที่มีคุณภาพและปริมาณเพียงพอต่อนักเรียนให้สามารถรับประทานอิ่มได้ เป็นต้น
การจัดงบประมาณให้เพียงพอต่อความจำเป็นเพื่อการคงสภาพโรงเรียนเอาไว้ได้ คือบทพิสูจน์ความจริงใจและความตั้งใจของกระทรวงศึกษาธิการในการรักษาโรงเรียนขนาดเล็ก ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารห่างไกลให้เป็นโรงเรียนที่มีคุณภาพ และสามารถสร้างความเป็นพลเมืองดีให้กับนักเรียนได้ นี่เป็นบทสรุปที่ผมอยากเสนอต่อกระทรวงศึกษาธิการ ในกรณีโรงเรียนขนาดเล็ก เพื่อการจัดการเรียนการสอนที่นำไปสู่การเรียนรู้ของนักเรียนอย่างมีคุณภาพในโรงเรียนเช่นนี้ให้ได้ เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำของประเทศ และยังเป็นการยกระดับการใช้งบประมาณที่สร้างความคุ้มค่าอันจริงแท้ กว่าการมุ่งเพียงแต่จะอัดเงินลงไปเพื่อให้เกิดแค่การควบรวมโรงเรียนเหมือนที่ผ่านมาเท่านั้น
นี่คือ วิสัยทัศน์ (Vision) และกระบวนทัศน์ (Paradigm)เกี่ยวกับโรงเรียนขนาดเล็กที่ ผมอยากให้กระทรวงศึกษาธิการเข้าใจและเปลี่ยนแปลงครับ
กนก วงษ์ตระหง่าน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี