ฉบับนี้มาว่าต่อจากฉบับที่แล้วนะครับในเรื่องของเมล็ดพันธุ์ข้าวว่า อย่างไรก็ดี ชาวนาไทยทุกวันนี้ที่ปลูกข้าวเพื่อการค้า หรือทำนาเป็นอาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตชลประทานภาคกลาง นอกเหนือจากที่แต่เดิมสามารถเลือกเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวของตนเองไว้ปลูกเอง จึงพบว่าได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปเป็นการซื้อหาเมล็ดพันธุ์ข้าวจากภายนอกมาปลูกแทนมากขึ้น ทั้งนี้ แล้วแต่ว่าพันธุ์ (variety) เดิมที่ปลูกนั้นชาวนาชอบหรือไม่ หรือสามารถให้ประโยชน์ตอบแทนแก่ชาวนาผู้ปลูกมากน้อยประการใด เช่น มีราคาดีหรือไม่ ต้านทานโรคแมลงที่ระบาดหรือไม่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ถ้าพันธุ์ที่ชาวนาเลือกปลูกอยู่นั้นให้ผลตอบแทนดี ชาวนาก็จะปลูกข้าวพันธุ์นั้นต่อ แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าพันธุ์ข้าวที่ปลูกให้ผลตอบแทนไม่ดี ชาวนาก็อาจเปลี่ยนไปหาพันธุ์ข้าวชนิดอื่นมาปลูกแทน ซึ่งก็ต้องทำด้วยการไปซื้อเมล็ดพันธุ์ (seed) ที่ชอบนั้นมาจากภายนอกนั่นเอง และจากประสบการณ์ของผมเอง ทราบว่า ด้วยเหตุที่ชาวนาในเขตภาคกลางนี้เป็นกลุ่มที่ปลูกข้าวทั้งนาปีและนาปรัง หรือแม้กระทั่งปลูกต่อเนื่องกันจนแยกไม่ออกว่าปีหรือปรัง อีกทั้งปลูกไว้เพื่อขายเป็นหลัก พวกเขาจึงต้องการข้าวชนิดพันธุ์ที่ขายได้ราคาดี และได้ผลผลิตต่อไร่สูงด้วย ฉะนั้น เมื่อได้ยินว่าข้าวพันธุ์ไหนดีหรือมีพันธุ์ข้าวออกใหม่ พวกเขาจึงพยายามเสาะแสวงหามาปลูกอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการเลือกปลูกพันธุ์ข้าวที่ว่านี้ เป็นเรื่องของชาวนาโดยแท้ ไม่มีใครที่จะไปบังคับได้ ส่วนราชการภาครัฐก็ทำได้แต่เพียงไปส่งเสริมแนะนำได้แค่นั้น
แต่กระนั้นก็ตาม ยังมีชาวนาอีกกลุ่มหนึ่งที่มีถิ่นฐานในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือในภาคเหนือบางส่วน นิยมปลูกข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 โดยไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ดังนั้น จึงไม่มีปัญหาที่จะต้องเปลี่ยนชนิดพันธุ์ข้าว กล่าวคือสามารถที่เก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ที่ปลูกไว้ในฤดูก่อนหน้าเอามาปลูกต่อได้ แต่ทว่าปัญหาที่พบในกรณีนี้คือ เมล็ดพันธุ์ข้าวที่เก็บไว้ปลูกต่อนั้น ใช้ต่อกันนานเกิน 3-4 ปี ซึ่งเกินเวลาที่ทางวิชาการแนะนำ ชาวนากลุ่มนี้ก็มีเป็นจำนวนมาก เพราะในประเทศไทยเรานั้น พื้นที่ทำนาในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีขนาดใหญ่เท่ากับครึ่งหนึ่งของพื้นที่ทำนาทั้งประเทศเลยทีเดียว เท่ากับว่าปริมาณความต้องการเมล็ดพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 มีจำนวนสูงมาก เคราะห์ดีที่ในเขตนี้ยังมีการปลูกข้าวเหนียวด้วย เพราะประชาชนเกือบทั้งหมดบริโภคข้าวเหนียว สัดส่วนความต้องการเมล็ดพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 จึงลดลงไปเยอะอยู่ แต่ทั้งนี้ จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับราคาข้าวเช่นเดียวกันเช่น ปีไหนราคาข้าวขาวดอกมะลิ 105 ดี ปีต่อไปชาวนาก็จะเลือกปลูกข้าวขาวดอกมะลิ 105 แต่ถ้าหากปีไหนข้าวเหนียวมีราคาดีกว่า ชาวนาก็จะเลือกปลูกข้าวเหนียวแทน
สภาพการปฏิบัติของชาวนาที่ค่อนข้างจะอีนุงตุงนังกล่าวมาข้างต้น ทำให้เป็นเรื่องยากมากทีเดียวที่จะประเมินได้ว่า แล้วความต้องการจริงๆ ของชาวนาสำหรับเมล็ดข้าวที่จะใช้ปลูกนั้น มีปริมาณเท่าใด เพราะมีทั้งเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูกเอง และซื้อจากภายนอก ยิ่งในส่วนที่เก็บไว้เองนั้น ใช้ปลูกมาแล้วกี่ปี หนึ่งปี สองปี สามปี หรือมากกว่านั้น จนในที่สุดจึงต้องทำการวิจัยและอาศัยการคำนวณโดยใช้คณิตศาสตร์ชั้นสูง ซึ่งก็จะได้ปริมาณความต้องการเมล็ดพันธุ์ข้าวของประเทศมาแบบคร่าวๆ ว่าปีหนึ่งสรุปแล้ว ชาวนาจะใช้เมล็ดพันธ์ข้าวปลูกใหม่ (ไม่รวมที่เก็บไว้เอง) ประมาณปีละ3 แสนตัน แล้วก็นำไปวางแผนการผลิต
ในการวางแผนผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว ความยุ่งยากย่อมเกิดขึ้นอีกอย่างหนึ่งคือ ก็ในเมื่อพันธุ์ข้าวในประเทศเรามีอยู่เป็นร้อยๆ พันธุ์ อย่างที่เคยนำเสนอท่านผู้อ่านมาแล้ว แม้ว่าในแต่ละฤดูการปลูก ชาวนาจะไม่เลือกปลูกพันธุ์ข้าวทั้งร้อยพันธุ์ แต่ปีๆ หนึ่งเชื่อว่าไม่น้อยกว่า 20 พันธุ์ ดังนั้นปริมาณที่วิจัยบวกคำนวณได้มานั้น จะเป็นพันธุ์ไหน จำนวนเท่าไหร่ถือว่าเป็นงานหินทีเดียว และปัญหานี้แหละที่ทำให้เกิดความเพียงพอ หรือไม่เพียงพอในด้านการบริการเมล็ดพันธุ์ดีตั้งแต่อดีตจนมาถึงปัจจุบันนี่คือที่มาของด้านอุปสงค์ของเมล็ดพันธุ์ข้าวของประเทศไทย ซึ่งในเมื่อปัจจุบันภาคเอกชนเรายังไม่แข็งแกร่งพอ ราคาเมล็ดพันธุ์ก็ไม่สูงพอที่จูงใจการลงทุน ก็เป็นหน้าที่ของภาครัฐที่จะต้องเข้ามาดูแล ซึ่งผมคงจะยกไปเล่าในฉบับหน้าครับ
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
chanpithya@apterr.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี