เมื่อเวลา 13.00 น.วันนี้ 4 มี.ค.64 นายเกรียงศักดิ์ ภิระไร ผู้อำนวยการสำนักสำรวจและประเมินศักยภาพน้ำบาดาล เปิดเผยที่บริเวณหน้างานเจาะบาดาล ในพื้นที่บ้านทุ่งคูณ หมู่ 19 ต.ห้วยกระเจา อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี หลังได้รับมอบหมายจากนายศักดิ์ วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมน้ำบาดาล ให้เร่งสำรวจหาแหล่งน้ำบาดาลเพิ่มเติมอีก 1 บ่อจากที่ได้แล้วจำนวน 3 บ่อว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังเร่งดำเนินการเจาะบาดาลอยู่ ซึ่งท่อนที่ใช้เจาะบาดาลมีความยาวท่อนละ 6 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 5 นิ้ว แต่ละท่อนมีน้ำหนักเกือบ 200 กิโลกรัม ศักยภาพความสามารถของรถเจาะสามารถเจาะได้ที่ความลึก 650 เมตร ซึ่งเราเตรียมท่อนเจาะเอาไว้กว่า 100 ท่อน จากสภาพหินด้านล่างที่แข็งคาดว่าต้องใช้เวลาประมาณ 1 เดือน จึงจะแล้วเสร็จ
ส่วนจะรู้ได้อย่างไรว่าต้องเจาะที่ความลึกเทาไหร่และจะรู้ได้อย่างไรว่าจุดที่เจาะนั้นจะพบน้ำบาดาล นายเกรียงศักดิ์ ตอบว่า เบื้องต้นเราต้องมาดูธรณีโครงสร้างก่อน พบว่าพื้นที่ธรณีโครงสร้างรองรับด้วยหินแปร ปรกติถ้าพบหินแปรแต่ไม่มีรอยแตกก็จะไม่มีน้ำบาดาล
ถามว่าเรารู้ได้อย่างไรว่าหินแปรนั้นมีรอยแตก โดยเราใช้เครื่องมือสำรวจธรณีฟิสิกส์มาตอกหลักแล้วปล่อยกระแสไฟฟ้าลงไป เมื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าลงไปเราก็จะวัดค่าความต่าง แล้วเอามาคำนวณเป็นค่าความต้านทานจำเพาะที่ความลึกทุกๆ 5 เมตร 10 เมตร ไปจนถึง 300-400 เมตรบริเวณไหนที่มีความแข็งของหิน ค่าความต้านทานไฟฟ้าจำเพาะมันก็จะสูง บริเวณไหนที่มีรอยแตกของหินค่าความต้านทานไฟฟ้าจำเพาะก็จะต่ำ
ส่านบริเวณไหนที่มีรอยแตกและมีน้ำบาดาลสะสมอยู่ค่าความต้านทานไฟฟ้าจำเพาะก็จะต่ำกว่าบริเวณที่อยู่ข้างเคียง ซึ่งเราจะทำเป็นแนวเดียวกันในหลายๆ จุด เมื่อเสร็จแล้วเราจะมาประมวลผลเป็นภาพตัดขวาง โดยให้นึกภาพเหมือนกับการที่เราผ่าโลกออกมาดูว่าที่ความลึกแต่ละระดับนั้นมีชั้นดินหรือชั้นหินอะไร มีรอยแตกหรือไม่ แล้วรอยแตกมีค่าความต้านทานไฟฟ้าเป็นอย่างไร
ถ้ามีค่าความต้านทานไฟฟ้าต่ำมันอาจจะเป็นน้ำบาดาลหรืออาจจะเป็นดินเหนียว ซึ่งทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับลักษณะธรณีวิทยาที่อยู่ด้านล่าง และต้องอาศัยประสบการณ์ของนักธรณีวิทยาหรือนักอุทกธรณีวิทยาในการประมวลผลเพื่อแปลความหมายแล้วมากำหนดจุดเจาะบาดาล แต่จะให้รู้อย่างแน่นอนก็คือการลงมือเจาะ ที่เราเห็นอยู่นี้คือการเจาะสำรวจ
สมมติว่าบริเวณนี้เรากำลังเจาะสำรวจที่ความลึกประมาณ 400 เมตรซึ่งขณะนี้เราเจาะไปแล้วที่ความลึก 158 เมตร ซึ่งเราได้รับรายงานจากหน่วยเจาะว่าที่ความลึกประมาณ 80 เมตรมีรอยแตกและมีน้ำบาดาลสะสมอยู่ แต่มีปริมาณน้ำบาดาลที่ไม่มาก มีแค่ประมาณ 20 คิวหรือประมาณ 2,000 ลิตรต่อชั่วโมง ซึ่งน้ำปริมาณนี้ถ้าจะสูบขึ้นมาใช้ในครัวเรือนก็เพียงพอ แต่ไม่สามารถที่จะนำไปทำระบบสูบส่งขนาดใหญ่ได้
ดังนั้น รถคันนี้มีความสามารถที่จะเจาะให้ลึกลงไปได้มากถึง 650 เมตร ซึ่งเราเพิ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทุนน้ำบาดาลของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เราจึงจะเจาะให้สุดความสามารถของรถเจาะบาดาลคันนี้ เพื่อที่จะทำการพิสูจน์ชั้นธรณีวิทยาที่อยู่บริเวณนี้ และต้องการพิสูจน์ศักยภาพของรถคันนี้ด้วย
ส่วนบริเวณที่เจาะบาดาลแล้วเจอน้ำพุบาดาลโซดาและจุดที่กำลังเจาะจะมีความแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งพบว่าธรณีวิทยามีลักษณะที่ใกล้เคียงกัน แต่บริเวณที่พุมีรอยแตกมากกว่าและมีน้ำไหลเข้าไปสะสมมากกว่าบริเวณนี้ แต่ต้องรอให้เราเจาะให้ถึงจุดเสียก่อนเพราะขณะนี้เราเจาะได้เพียงแค่ 158 เมตรเท่านั้นจึงยังไม่สามารถตอบได้ว่าน้ำบริเวณนี้จะพุหรือไม่พุ หรือรอให้เจาะถึงระดับประมาณ 300-400 เมตรก่อนเราจึงจะสามารถนำมาเทียบเคียงกันได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี