ในทางพระพุทธศาสนากล่าวถึงหัวหน้าเทวดาประจําทิศทั้งสี่มี 4 องค์ เรียกว่า ท้าวจตุโลกบาล หรือ ท้าวจาตุมหาราช คือ เป็นผู้ใหญ่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาเป็นสวรรค์ชั้นแรกและชั้นล่างสุดในฉกามาพจรภูมิ เรียกสั้นๆว่า ชั้นจาตุม มีที่ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาพระสุเมรุ สวรรค์ชั้นนี้เป็นดินแดนที่อยู่ของท้าวมหาราชทั้งสี่ ผู้รักษาคุ้มครองโลกใน 4 ทิศ ปกครองอยู่คนละทิศ ทำหน้าที่ดูแลรักษาทิศทั้งสี่และสอดส่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรวมทั้งดูแลบริวารในอำนาจของตน ประกอบด้วย
1.ท้าวเวสสุวรรณ หรือท้าวกุเวร เทพผู้ดูแลประจำทิศอุดร (ทิศเหนือ) ทำหน้าที่ปกครองหมู่ยักษ์ มีลักษณะแบบยักษ์มีกายสีทองหรือสีเขียว มือขวาถือกระบองเป็นอาวุธ มือซ้ายแสดงท่ามุทรา สวมศิราภรณ์ทรงมงกุฎยอดน้ำเต้า สวมกรองศอ สวมเกราะเสื้อแขนสั้นสีน้ำเงินขาบเข้มแต่งกนกปลายแขนเสื้อแทนพาหุรัด นุ่งผ้าลายดอกพื้นเขียว กำไลมือ ข้อเท้า เป็นเครื่องตกแต่ง สนับเพลาลายดอกพื้นสีส้มอ่อน
2.ท้าววิรุฬหก เทพผู้ดูแลประจำทิศทักษิณ(ทิศใต้) ทำหน้าที่ปกครองยักษ์ชื่อกุมภัณฑ์ มีลักษณะใบหน้าแบบยักษ์หน้ามนุษย์ มีกายขาบหรือน้ำเงินอมเขียว มือถือหอกเป็นอาวุธ สวมศิราภรณ์ทรงมงกุฎยอดกระหนกประดับกุณฑล สวมกรองศอ สวมสังวาล พาหุรัด กำไลข้อมือข้อเท้า นุ่งผ้าลายดอกพื้นแดง สนับเพลาลายสีเขียว สีทอง
3.ท้าวธตรฐ เทพผู้ดูแลประจำทิศบูรพา (ทิศตะวันออก) ทำหน้าที่ปกครองคนธรรพ์ มีลักษณะอย่างเทพบุตรรูปร่างงดงาม ผิวกายสีเนื้ออย่างมนุษย์ บรรเลงพิณสามสายเขียนแต่งลายพันธ์พฤกษา สวมศิราภรณ์ทรงมงกุฎยอดน้ำเต้า สวมเสื้อกั๊กประดับกุณฑลและสร้อยพระศอ สวมสังวาล พาหุรัด กำไลข้อมือ ข้อเท้า นุ่งผ้าลายดอกพื้นเขียวสนับเพลาลายดอกพื้นสีชมพูอ่อน
4.ท้าววิรูปักษ์ เทพผู้ดูแลประจำทิศประจิม (ทิศตะวันตก) ทำหน้าที่ปกครองพญานาค มีกายสีเนื้ออ่อนออกขาว มีธนูเป็นอาวุธ สวมศิราภรณ์ทรงมงกุฎยอดรูปพญานาคสามเศียรสวมสังวาลและพาหุรัดรูปพญานาค มีธนูเป็นอาวุธสวมกรองศอสวมเกราะเสื้อแขนสั้นสีเขียวแต่งกนกปลายแขนเสื้อแทนพาหุรัดนุ่งผ้าลายดอกพื้นน้ำเงิน กำไลข้อมือ ข้อเท้าเป็นเครื่องตกแต่ง สนับเพลาลายสีเขียว สีทอง
เรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกับท้าวจตุโลกบาลมีปรากฏอยู่ในหนังสือโดยเฉพาะคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาและสถานที่ต่างๆ เช่น ยอดเขาทางด้านทิศตะวันตกที่อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี (เขาวัง) จ.เพชรบุรี ซึ่งเป็นที่ตั้งพระราชวังที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 รอบพระราชวังมีป้อมล้อมอยู่ทั้ง 4 ทิศ ทางทิศตะวันออกชื่อป้อมธตรฐป้องปก ทางทิศใต้ชื่อป้อมวิรุฬหกบริรักษ์ ทางทิศตะวันตกชื่อป้อมวิรูปักษ์ป้องกันและทางทิศเหนือชื่อป้อมเวสสุวรรณรักษา
ในอาฏานาฏิยสูตร กล่าวไว้ว่า ในสมัยหนึ่งเมื่อพุทธเจ้าประทับ ณ เขาคิชฌกูฏ กรุงราชคฤห์ ท้าว จาตุมหาราชคือ ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ และท้าวเวสสุวรรณหรือท้าวกุเวร พร้อมด้วยบริวารอันได้แก่ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ นาคและยักษ์มาเฝ้าพระพุทธเจ้า
ท้าวมหาราชเหล่านี้ บางครั้งเรียกว่า จตุโลกบาล หรือผู้รักษาโลกทั้ง 4 ซึ่งเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา เมื่อ
ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ท้าวกุเวรหรือท้าวเวสสุวรรณ กราบทูลว่า อมนุษย์ที่เป็นบริวารของจตุโลกบาล บางพวกเลื่อมใสพระพุทธเจ้า บางพวกไม่เลื่อมใส เพราะพระองค์ทรงแสดงธรรมให้ถือศีล 5 คือ ให้ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม การพูดเท็จ และการเสพสุรา แต่มนุษย์และยักษ์ยังชอบทำบาปเหล่านี้ จึงขัดใจไม่ค่อยเลื่อมใสสาวกของพระองค์ที่ประกอบวิปัสสนาธุระ ไปบำเพ็ญสมณธรรมในเสนาสนะป่าเปลี่ยว เมื่อไม่มีสิ่งป้องกัน อมนุษย์ก็จะรบกวนเบียดเบียนให้ลำบาก ขอให้พระองค์ทรงรับเอาเครื่องป้องกันรักษา คือ อาฏานาฏิยปริตรไว้ จะได้ประทานให้สาวกสวด จะทำให้อมนุษย์เลื่อมใสไม่เบียดเบียนภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา และกลับจะช่วยคุ้มครองรักษาให้อยู่ผาสุก แล้วจึงกล่าว อาฏานาฏิยปริตร ขึ้นในเวลานั้นว่า วิปัสสิสสะ นะมัตถุ เป็นต้น
เมื่อพระองค์ทรงรับโดยดุษณีภาพ ท้าวกุเวรหรือท้าวเวสสุวรรณจึงกราบทูลต่อไปอีกว่า ผู้ที่เจริญอาฏานาฏิยปริตรนี้ดีแล้ว อมนุษย์จะไม่ทำร้าย ถ้าอมนุษย์ยังฝืนกระทำจะแพ้ภัยตัวเอง จากนั้นพระพุทธเจ้าจึงนำมาตรัสเล่าแก่ภิกษุทั้งหลายในภายหลัง
ไตรภูมิกถา พระสูตรและพระอรรถกถาแปลอังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ก็ได้กล่าวถึงหน้าที่ของท้าวจตุโลกบาลคือ เป็นผู้รักษาและตรวจดูโลกซึ่งเป็นที่อยู่ของมนุษย์ทั้ง4 ทิศ โดยวัน 8 ค่ำ อำมาตย์ของท้าวมหาราชทั้ง 4 จะเป็น ผู้ตรวจดูโลก วัน 14 ค่ำ บุตรทั้งหลายของท้าวมหาราชทั้ง 4 จะเป็นผู้ตรวจดูโลก ส่วนวัน 15 ค่ำ ท้าวมหาราชทั้ง 4 จะเป็นผู้ตรวจดูโลกเองว่า พวกมนุษย์พากันบำรุงบิดามารดา และสมณพราหมณ์ เคารพนอบน้อมผู้ใหญ่ในตระกูล รักษาอุโบสถศีลและทำบุญกุศลเป็นจำนวนมากหรือไม่ ครั้นตรวจดูแล้วก็จะไปบอกพวกเทพชั้นดาวดึงส์ ซึ่งมาประชุมกันในสุธรรมาเทวสภา ถ้าได้ฟังว่าพวกมนุษย์ทำดีกันน้อย พวกเทพชั้นดาวดึงส์ก็มีใจหดหู่เพราะทิพยกายจะลดถอย อสุรกายจะเพิ่มพูน แต่ถ้าได้ฟังว่าพวกมนุษย์ทำดีกันมาก พวกเทพชั้นดาวดึงส์ก็มีใจชื่นบาน เพราะทิพยกายจะเพิ่มพูน อสุรกายจะลดถอย
โลกบาลในทางพระพุทธศาสนาใช้เป็นธรรมหมวดหนึ่งเรียกว่า “ธรรมโลกบาล” เป็นธรรมคุ้มครองโลก ถ้าเหล่าชนในสกลโลกมีธรรมเหล่านี้ประจำใจแล้ว ธรรมเหล่านี้ก็จะสนองผลให้โลกมีแต่ความสงบสุข ธรรมโลกบาลนั้นมี2 อย่าง คือ 1.หิริ ความละอายแก่ใจ หมายถึง ความละอายใจตัวเองในการกระทำผิดต่อศีลธรรม และกฎหมายบ้านเมืองหรือความละอายใจตัวเองที่จะงดเว้นการทำความดีที่ตนสามารถทำได้ 2.โอตตัปปะ ความเกรงกลัว หมายถึงความสะดุ้งกลัวต่อความผิดและคำนึงถึงผลที่ได้รับคือทุกข์โทษที่จะได้รับจากการทำความผิดนั้นๆ
ธรรมทั้งสองอย่างนี้ เป็นธรรมคุ้มครองโลกเพราะทำให้โลกเกิดความสงบสุข ช่วยทำให้คนละอายใจที่ทำความชั่วและกลัวที่จะทำความผิด ทำให้ละเว้นการกระทำความผิดต่างๆ เมื่อเป็นเช่นนี้คนในสังคมก็อยู่ร่วมกันได้อย่างร่มเย็นเป็นสุข เห็นอกเห็นใจ ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี