1.กว่า 60 ปีแล้วที่ระบบการศึกษาของประเทศไทย ให้ความสำคัญไปกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย มากกว่าคุณภาพของการเรียนรู้ที่นักเรียนควรต้องได้รับเพราะนักเรียนทุกคนได้รับการปลูกฝังเอาไว้ว่า การได้เรียนมหาวิทยาลัย ในคณะสาขาวิชาที่ต้องการ คือ การวางเป้าหมายให้กับอนาคตของตัวเอง ทั้งเรื่องของหน้าที่การงาน รายได้ และการยอมรับของสังคม ดังนั้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การแข่งขันที่จะสอบให้ได้ ทำคะแนนให้ดีกว่าคู่แข่งขัน (นักเรียนคนอื่น) จึงกลายเป็นเกณฑ์หลักที่ถูกกำหนดเอาไว้สำหรับนักเรียนทุกคน
สำหรับผม กระบวนการเช่นนี้ เป็นเงื่อนไขที่ขัดขวางการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนเป็นอย่างมาก และส่งผลในการสร้างความกดดันต่อจิตใจของนักเรียนมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ “การเรียนรู้” ซึ่งเป็นหมุดหมายหลักถูกวางอันดับความสำคัญอยู่หลังการเป็นผู้ชนะ หรือสอบแข่งขันสำเร็จ ส่งผลให้ระบบการเรียนการสอนของนักเรียนผิดเพี้ยน และหลงทาง ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เอง ผมจึงอยากชวนให้เรากลับมาทบทวนและช่วยกันคิดเรื่องระบบและกระบวนการคัดเลือกนักเรียนเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยกันเสียใหม่ เพื่อจัดวางนโยบายทางการศึกษาที่เหมาะสมสำหรับนักเรียนต่อไปในอนาคตได้
2.คงต้องเริ่มกันที่ การนำเสนอระบบและกระบวนการคัดเลือกนักเรียนเข้าสู่มหาวิทยาลัยในปัจจุบันกันก่อน เพื่อให้มองเห็นภาพอย่างชัดเจน
ซึ่งระบบและกระบวนการดังกล่าวนั้น ตั้งอยู่บนหลักการสำคัญ คือ หนึ่ง คัดเลือกคนเก่งวิชาการ และสอง การคัดเลือกต้องโปร่งใส ไม่มีทุจริต หลักการสำคัญทั้ง 2 ข้อนี้ นำไปสู่การทดสอบที่หลากหลาย และกระบวนการคัดเลือกที่มีการตรวจสอบ และควบคุมอันเข้มข้น
สำหรับการคัดเลือกคนเก่งวิชาการ ถูกออกแบบให้นักเรียนต้องสอบถึง 3 ประเภท คือ 1.การสอบ O-Net 2.การสอบ GAT และ PAT และ 3.การสอบวิชาสามัญ9 วิชา ซึ่งการสอบ O-Net เป็นการสอบเพื่อวัดมาตรฐานนักเรียน จากการเรียนในชั้นเรียนปกติ โดยเป็นการสอบทั้งประเทศ ดังนั้น คะแนนของนักเรียนและค่าเฉลี่ยคะแนนของนักเรียนในแต่ละโรงเรียน จะสามารถสะท้อนว่า นักเรียนและโรงเรียนอยู่ในระดับตรงไหน สูง หรือปานกลาง หรือต่ำ
ในการเปรียบเทียบนักเรียนและโรงเรียนทั่วประเทศ ผ่านการสอบ O-Net นั้น จะนำมาตรฐานที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดมาเป็นเกณฑ์ คือ ถ้าการเรียนการสอนในชั้นเรียนมีคุณภาพ นักเรียนจะต้องสอบO-Net ได้คะแนนไม่ต่ำกว่าเกณฑ์คะแนนมาตรฐาน หรือร้อยละ 50 ซึ่งผลคะแนน O-Net จะเป็นตัวบอกกับผู้บริหารการศึกษาในระดับกระทรวงว่า กลุ่มโรงเรียนที่ได้คะแนนสูงกว่าเกณฑ์ หรือต่ำกว่าเกณฑ์เหล่านั้น อยู่ตรงไหนกันบ้าง พูดให้ชัดก็คือ ผลลัพธ์การสอบที่ออกมาจะเป็นตัวชี้เป้า เพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาหรือความสำเร็จ แล้วนำไปสู่การแก้ไขในระดับนโยบายต่อไปในระดับกระทรวง ส่วนในระดับสถานศึกษา ผู้อำนวยการโรงเรียน และคณะกรรมการสถานศึกษา ก็จะได้นำคะแนน O-Net ของนักเรียนในโรงเรียนที่รับผิดชอบ ไปสังเคราะห์เป็นข้อมูลสำหรับการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนให้ดีมากยิ่งขึ้นต่อไป
3.ส่วนการสอบ GAT และ PAT คือการวัดความรู้ทั่วไป และความรู้ทางวิชาชีพ ซึ่งนักเรียนต้องแสดงคะแนนให้กับมหาวิทยาลัย ตามรายคณะวิชาที่ต้องการสมัครเข้าไป ทำให้คะแนน GAT และ PAT จึงสำคัญต่อการคัดเลือกนักเรียน เพราะเป็นการประเมินว่า นักเรียนแต่ละคนมีความสามารถที่จะเรียนในสาขาวิชานั้นได้มากน้อยเพียงใด จะสำเร็จหรือไม่
เท่าที่ผมทราบ แต่ละคณะวิชาของมหาวิทยาลัยต่างๆ ไม่ได้นำผลคะแนน GAT และ PAT ไปเทียบเคียง หรือเชื่อมโยงกับผลสำเร็จของการเรียนในมหาวิทยาลัย แล้วรายงานให้กับสำนักทดสอบทางการศึกษา (สทศ.) ของประเทศ (ตามที่ควรจะเป็น) จึงทำให้ไม่สามารถยืนยันได้จากฐานข้อมูลจริง ว่าคะแนน GAT และ PAT สัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ของการเรียนในมหาวิทยาลัยหรือไม่ เพียงใด แต่อย่างไรก็ตาม คะแนน GAT และ PAT ก็ยังคงเป็นผลคะแนนสำคัญ ที่ทางมหาวิทยาลัยใช้เป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัยอยู่ดี
สำหรับคะแนนผลสอบวิชาสามัญ 9 วิชา เช่น คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ภาษาอังกฤษ ฯลฯก็เป็นการวัดความรู้พื้นฐานรายวิชา เพื่อประกอบกับคะแนน GAT และ PAT โดยข้อสอบวิชาสามัญ 9 วิชา มุ่งไปที่การช่วยแยกแยะความสามารถทางวิชาการ ในแต่ละวิชาของนักเรียน เพื่อให้ทางมหาวิทยาลัยสามารถรับทราบได้ว่า นักเรียนแต่ละคนมีความสามารถทางวิชาการที่แตกต่างกันอย่างไร ซึ่งก็เป็นที่แน่นอนว่าทางมหาวิทยาลัยก็จะคัดเลือกนักเรียนที่ได้คะแนนวิชาสามัญสูงเอาไว้ก่อน
4.จะเห็นว่า การสอบทั้ง 3 ส่วนนี้ คือ ใบผ่านทางสำหรับการเข้าสู่มหาวิทยาลัยของนักเรียน โดยมีการให้ความสำคัญอันลดหลั่นกันมา ตั้งแต่การสอบ O-Net(วัดมาตรฐานการเรียนการสอนของโรงเรียน) ที่ไม่ต่ำกว่า60% ก็ถือว่า ผ่านขั้นต้นแล้ว จากนั้นมหาวิทยาลัยจะไปพิจารณาจากคะแนน GAT PAT และวิชาสามัญ ที่มีความชัดเจนในแง่เจตนารมณ์มากกว่า
ทั้งหมดนี้ บอกกับเราว่า การคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย “ความสามารถทางวิชาการ” คือคำตอบ นั่นหมายถึง คะแนนสอบเป็นความสำคัญ ด้วยเหตุผลของความจริงในประเด็นนี้ จึงส่งผลให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย (โดยเฉพาะ ม.5 และ ม.6) จะไม่สนใจเรียนในชั้นเรียนของโรงเรียนอีกต่อไป แต่ไปให้ความสำคัญกับการเรียนติวกับครูที่มีชื่อเสียงเป็นรายวิชา และนำไปสู่การเสียค่าใช้จ่ายสูงตามมาอย่างปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้น สำหรับโรงเรียนในช่วงเวลา 2 ปีสุดท้ายของชั้นเรียนมัธยมปลาย ก็แทบไม่สามารถจัดการเรียนการสอนอย่างมีคุณภาพได้ เพราะนักเรียนส่วนใหญ่ไปให้ความสำคัญกับการติวรายวิชากันหมด ทำให้นักเรียนที่อยู่ฐานราก (ครอบครัวที่มีเงินไม่มาก) เกิดความเสียเปรียบด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ และกลายเป็นผู้แพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้ทำการแข่งขัน
คำถามสำคัญก็คือ ระบบการคัดเลือกนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัยควรเป็นอย่างไร เพื่อเปิดให้นักเรียนทุกคนได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียม ด้วยระบบการเรียนในชั้นเรียนปกติ ภายใต้ข้อจำกัดอันแตกต่างของแต่ละคน--โอกาสหน้าผมจะมาให้คำตอบของคำถามนี้
กนก วงษ์ตระหง่าน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี