เมื่อช่วงกลางเดือนมกราคม ปีนี้ สำนักเลขานุการแอปเตอร์ ได้มีโอกาสจัดประชุมสองฝ่ายระหว่างคณะเราและผู้แทนฝ่ายญี่ปุ่น ผลของโควิด-19 ทำให้เราต้องจัดประชุมพูดคุยกันแบบเทเลคอนเฟอเรนซ์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในหลายๆ นิว นอร์มอล ที่เปลี่ยนแปลงมาเหตุจากเจ้าเชื้อไวรัสร้ายที่เกิดระบาดมากว่าปีแล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบบางเบาลงไปที่ผ่านมาเกือบสองสามเดือนผมไม่ได้นำเสนอผู้อ่านเกี่ยวกับเรื่องของกิจกรรมแอปเตอร์เลย หากแต่ไปเอาเรื่องข้าวๆ ที่ผมมีความรู้และประสบการณ์อยู่บ้างมาเล่าสลับฉาก
การประชุมแบบทางไกล หรือเทเลคอนเฟอเรนซ์ เดี๋ยวนี้ฮิตมากแม้แต่การประชุมของหน่วยงานภาครัฐของประเทศไทย ทุกวันนี้ก็พบเห็นเป็นประจำ แต่ของแอปเตอร์เรานั้นพูดกันข้ามประเทศ ทำให้การเตรียมระบบต่างๆ ต้องมีความสมบูรณ์พอควร ไม่งั้นอาจไม่ชัดทั้งภาพและเสียงพูด การประชุมกับทางญี่ปุ่นครั้งนี้ ถือเป็นความใส่ใจของฝ่ายญี่ปุ่นอันเป็นธรรมชาติของเขาโดยแท้ เพราะที่ผ่านมานอกจากที่ได้จัดประชุมกับฝ่ายเกาหลีใต้แล้ว ก็ไม่มีรายการประชุมสองฝ่ายในลักษณะนี้สำหรับประเทศสมาชิกอื่นเลย และด้วยความที่สำนักเลขานุการแอปเตอร์เรามีผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นมาประจำอยู่ด้วย จึงทำให้การประชุมครั้งนี้มีความเป็นทางการมากขึ้น เพราะมีการจัดทำระเบียบวาระการประชุมและมีการยกร่างคำกล่าวต่างๆ ซึ่งในเบื้องต้นที่ผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นมาหารือกับผมว่าอยากจะมีการพบปะพูดคุยกัน ตอนแรกก็ย้ำว่า ต้องการพูดคุยแบบง่ายๆ กันเองๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากนัก แต่เมื่อเตรียมไปเตรียมมา ทางฝ่ายกระทรวงเกษตรญี่ปุ่นนำไปรายงานท่านอธิบดีนายใหญ่ของเขา กลายเป็นว่าท่านอธิบดีเขาอยากจะมาร่วมประชุมพูดคุยด้วยตนเอง เพราะท่านอธิบดีท่านนี้ก็ได้เคยพบกับผมอยู่หลายครั้ง ทั้งในประเทศญี่ปุ่น ประเทศไทย รวมทั้งตอนไปลงนามความตกลงฉบับแก้ไขที่ประเทศเวียดนามเมื่อปี 2018 ด้วย
ดังนั้น จากที่บอกว่าประชุมแบบไม่ทางการก็เลยกลายเป็นกึ่งทางการขึ้นมาทันที จากที่เพียงตกลงกันว่าใส่เสื้อเชิ้ตธรรมดา ก็ต้องมีแจ๊กเกตสูทสวมทับ และบางคนก็ยังจัดเต็มผูกเนคไทอีก มีวาระการประชุม มีการร่างคำกล่าว มีโฆษก หรือ เอ็มซี กันเต็มพิกัด ซึ่งก็ได้มอบหมายให้ผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นประจำแอปเตอร์นั่นแหละทำหน้าที่โฆษก วาระที่สำคัญ คือ การแนะนำผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นคนใหม่ที่จะส่งมาประจำแอปเตอร์แทนคนเก่าที่นั่งอยู่ปัจจุบัน เพราะมาอยู่เมืองไทยครบ 2 ปี แล้วต้องเดินทางกลับสิ้นเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ และคนใหม่จะมาแทนในเดือนเมษายน ท่านอธิบดีมาอ่านกล่าวทักทายแล้วก็กลับออกไปส่วนการพูดคุยได้มอบหมายให้ ผู้อำนวยการกองของเขาทำหน้าที่ พอดีท่าน ผอ. ท่านก็เป็นคนใหม่ จึงเหมาะสมที่จะทำความรู้จักกันไปด้วยเลย ท่านเล่าว่า ในอดีตประมาณ 10 ปี ท่านก็เคยมาประจำอยู่สถานทูตญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ ท่านคุ้นเคยเมืองไทยเป็นอย่างดี แถมยังมีการพูดภาษาไทยอยู่อีกด้วยในบางคำ สรุปแล้วก็ชื่นมื่นกันดี ภารกิจอีกอย่างที่ได้พูดคุยก็คือการสนับสนุนของญี่ปุ่นต่อแอปเตอร์ นับเป็นประเทศแรกที่พูดถึงการต่อระยะเวลาการบริจาคเงินทุนให้แอปเตอร์ ซึ่งรายละเอียดผมจะนำมาคุยภายหลัง แต่ ณ โอกาสนี้ผมเพียงอยากจะเล่าว่า นับเป็นความพิเศษของญี่ปุ่นจริงๆ ที่เขาใส่ใจและติดตามความเป็นไปขององค์กรตลอด เขารู้ว่าถึงเวลาไหน องค์กรแอปเตอร์ควรจะทำอะไร และไม่เคยปล่อยให้สิ่งสำคัญนั้นผ่านเลยไป จะต้องยกมากล่าวเตือนล่วงหน้าทุกครั้ง ลักษณะแบบนี้ที่ผมกล่าวชื่นชมญี่ปุ่น ก็เพราะว่า จนถึงปัจจุบันผมยังไม่เห็นสมาชิกแอปเตอร์ประเทศอื่นๆ พูดถึงเรื่องการบริจาคเงินนี้ให้ได้ยินเลยครับ
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
chanpithya@apterr.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี