“ผบช.สตม.” นำแถลง “ตม.สุราษฎร์ธานี” บูรณาการ ตม.หลายพื้นที่ ร่วมทลายเครือข่าย “แก๊งรถตู้” ลอบขนต่างด้าวส่ง “สมุทรสาคร” แฉโยงใยตั้งแต่นราธิวาสถึงปทุมธานี
26 มีนาคม 2564 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.ศิลปคมณ์ เอี่ยมวงศ์ รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6 , พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผบก.ตม.3 , พ.ต.อ.ศุภฤกษ์ พันธ์โกศล ผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี ร่วมแถลงผลการจับกุมขบวนการนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง
สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่สืบสวนปราบปราม ตม.จว.สุราษฎร์ธานี ได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีขบวนการลักลอบนำพาบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมาผิดกฎหมาย โดยใช้รถตู้โดยสาร ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน จากพื้นที่ภาคใต้เพื่อไปส่งยังพื้นที่ จ.สมุทรสาคร โดยใช้เส้นทางถนนทางหลวงหมายเลข 4 และ 41 ผ่านพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี
ต่อมาเจ้าหน้าที่สืบสวน พบเบาะแสว่ารถตู้โดยสารที่ใช้นำพาบุคคลต่างด้าวผิดกฎหมาย เป็นรถตู้ สีขาว หมายเลขทะเบียนสมุทรสาคร และกำลังนำพาบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมา มาเปลี่ยนรถที่สถานีบริการน้ำมันฝั่งขาล่อง หมู่ 4 ต.คลองไทร อ.ท่าฉาง จ.สุราษฎร์ธานี จึงได้ไปตรวจสอบ โดยวางกำลังซุ่มดูอยู่บริเวณสถานีบริการน้ำมันดังกล่าว พบรถตู้โดยสารดังกล่าวจอดอยู่ ตรวจสอบพบว่ามีคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา 7 คน นั่งอยู่ในรถ แต่คนขับได้หลบหนีไป ซึ่งคนต่างด้าว 6 คน ได้หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรทางชายแดนธรรมชาติ อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส ไม่มีเอกสารประจำตัว เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 แล้วมาพักที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
จนกระทั่งวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 เวลาประมาณ 08.00 น. ได้มีรถตู้หมายเลขทะเบียนสมุทรสาคร มารับเพื่อเดินทางไป จ.สมุทรสาคร จนมาถึงสถานีบริการน้ำมันดังกล่าว ได้มีรถตู้หมายเลขทะเบียน กทม. มารอรับช่วงต่อ ส่วนคนต่างด้าวอีก 1 คน อยู่เกินกำหนดอนุญาต
จากนั้นเจ้าหน้าที่สืบสวนฯ จึงได้ออกติดตามรถตู้โดยสารคันหมายเลขทะเบียนสมุทรสาคร จนกระทั่งตรวจสอบพบได้ที่บริเวณริมถนนทางหลวงหมายเลข 41 (ฝั่งขาขึ้น) หมู่ 4 ต.คลองไทร อ.ท่าฉาง จ.สุราษฎร์ธานี มีคนขับชื่อ นายพิษณุสิน หรือต้น และพบนายรุ่งธิยา หรือเจี๊ยบ ซึ่งเป็นผู้ขับรถตู้คันหมายเลขทะเบียน กทม. ที่ได้หลบหนีไป นั่งโดยสารมาด้วย และภายในรถมีคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา 8 คน ซึ่งเดินทางมาจาก จ.กระบี่ เพื่อไปยัง จ.สมุทรสาคร
ทั้งนี้ คนต่างด้าว 2 คน ขึ้นทะเบียนตามมติ ครม. วันที่ 29 ธันวาคม 2563 ระบุพื้นที่จัดทำทะเบียนประวัติ จ.พังงา แต่ออกนอกเขตโดยไม่ได้รับอนุญาต , คนต่างด้าว จำนวน 1 คน อยู่เกินกำหนดอนุญาต , คนต่างด้าว จำนวน 1 คน หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรทางชายแดนธรรมชาติ จ.ระนอง เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว และคนต่างด้าวอีก 4 คน มีเอกสารประจำตัวถูกต้อง
นายพิษณุสิน และนายรุ่งธิยา ให้การว่า ได้รับการว่าจ้างจากนายเดชา หรืออ๋า ติดต่อให้รับคนต่างด้าวเพื่อไปส่งที่ จ.สมุทรสาคร โดยได้รับค่าจ้างเป็นเงินคนละ 10,000 บาท และยังมีผู้ร่วมขบวนการ คือ นายปู ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง เป็นผู้ขับรถตู้โดยสารนำคนต่างด้าว 8 คน จาก จ.กระบี่ มาส่งต่อให้นายพิษณุสินและมีนายสมชาย หรือบอม มีหน้าที่ขับรถตู้โดยสาร ยี่ห้อ โตโยต้า สีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน กทม. ขนสัมภาระของคนต่างด้าว
เจ้าหน้าที่จึงได้จับกุมตัวคนต่างด้าวทั้ง 15 คน ในข้อหา “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” จำนวน 7 คน, “เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” จำนวน 4 คน, “เป็นแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ เคลื่อนย้ายจากจังหวัดอื่น เข้ามาในเขตพื้นที่ จว.สุราษฎร์ธานี โดยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานควบคุมโรค” จำนวน 4 คน, และคนไทย จำนวน 2 คน ในข้อหา “ร่วมกันให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม” นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ท่าฉาง ดำเนินคดี ส่วนนายเดชา , นายสมชาย และนายปู เจ้าหน้าที่สืบสวนได้ทำการสืบสวนขยายผล และรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับ
ต่อมาเจ้าหน้าที่สืบสวน ทราบว่านายสมชาย หรือบอม คือ นายสมชัย และนายปู คือ นายพรเทพ หรือปุ๊ และได้ออกตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบว่า รถตู้ซึ่งมีนายพรเทพเป็นผู้ขับขี่ โดยสารคนต่างด้าวที่ถูกจับ 8 คน หมายเลขทะเบียนภูเก็ต เจ้าหน้าที่สืบสวน จึงออกติดตามรถตู้โดยสารคันดังกล่าว จนกระทั่งเวลาประมาณ 18.00 น. ได้ตรวจสอบพบรถตู้คันดังกล่าว จอดอยู่บริเวณหน้าบ้านเช่าในซอยเพชรนครินทร์ ต.มะขามเตี้ย อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี
สอบถามนายพรเทพ รับว่า ได้รับการว่าจ้างจากนายเดชา ให้โดยสารคนต่างด้าวข้างต้น มาจาก จ.กระบี่ เพื่อส่งให้นายพิษณุสิน รับต่อไปส่งที่ จ.สมุทรสาคร โดยตกลงค่าจ้างเป็นเงินจำนวน 9,000 บาท จึงได้เชิญตัวนายพรเทพ ไปพบพนักงานสอบสวน สภ.ท่าฉาง เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาในความผิดฐาน “ร่วมกันให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม และ เคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ จากจังหวัดอื่น เข้ามาในเขตพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี โดยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานควบคุมโรค” พร้อมยึดรถตู้คันหมายเลขทะเบียนภูเก็ต ไว้เป็นของกลาง ส่งมอบให้พนักงานสอบสวน สภ.ท่าฉาง เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ส่วนนายเดชา และนายสมชัย เจ้าหน้าที่สืบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานทางการเงิน และการสนทนาทางโซเชียลมีเดีย รวมทั้งการซักถามปากคำผู้เกี่ยวข้อง เพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับ จนกระทั่ง ศาลจังหวัดไชยาได้อนุมัติออกหมายจับ นายเดชา ในความผิดฐาน “เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม” ตามหมายจับที่ จ.10/2564 และนายสมชัย ในความผิดฐาน “ร่วมกันให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม” ตามหมายจับที่ จ.10/1/2564
ต่อมาเจ้าหน้าที่สืบสวนสืบทราบว่านายเดชา หลบหนีมาซ่อนตัวอยู่ที่บ้านในหมู่ 2 ต.หนองตากยา อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นบ้านของภรรยา จึงได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ กก.สส.บก.ตม.3 และ สภ.สำรอง วางแผนจับกุมเอาไว้ได้ โดยนายเดชา ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้นำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.ท่าฉาง เพื่อดำเนินการต่อไป
ส่วนนายสมชัย เจ้าหน้าที่สืบสวนได้ติดตามจับกุม โดยเข้ากดดันภรรยาของนายสมชัย เพื่อให้นายสมชัยเข้ามอบตัว จนกระทั่งนายสมชัย เดินทางมามอบตัวที่ สภ.ท่าฉาง และให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา จึงนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.ท่าฉาง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
จากกรณีการจับกุมขบวนการลักลอบนำพาคนต่างด้าวของนายเดชา เจ้าหน้าที่สืบสวนได้สืบสวนขยายผลจนทราบว่ายังมีขบวนการนำพาคนต่างด้าวเมียนมา จากพื้นที่ จ.ปทุมธานี ลงภาคใต้ เพื่อนำหลบหนีออกไปประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นเครือข่ายของ “บังกบ” ไม่ทราบชื่อ นามสกุลจริง โดยมีคนต่างด้าว สัญชาติเมียนมา 8 คน ซุกซ่อนตัว เพื่อรอรถมารับที่บริเวณบ้านพักไม่มีเลขที่ ภายในซอยคลองหลวง42 ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี วันที่ 3 มีนาคม 2564 จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่ ตม.จว.ปทุมธานี เข้าไปตรวจสอบ จนกระทั่งสามารถจับกุมบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมา 8 คน และดำเนินคดีตามกฎหมาย
ด้าน พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. และโฆษก สตม. และ พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล รอง ผบก.ตม.1 และรองโฆษก สตม. ร่วมกันเปิดเผยว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติ ที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด
ทั้งนี้ สตม. มีนโยบายในการป้องกันปราบปรามการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายในทุกรูปแบบ เพื่อสนองนโยบายของของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการป้องกันปราบปรามขบวนการลักลอบนำพาแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และฝากประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนคนไทย ห้ามเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการเหล่านี้ เพราะอาจถูกจับกุมดำเนินคดี และรับโทษตามกฎหมาย หากพบหรือทราบข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลคนต่างด้าวที่ลักลอบเข้าเมือง หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ สายด่วนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โทร.1178 หรือที่ www.immigration.go.th
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี