"นายกฯ"หารือทีมแพทย์ ตั้ง"นพ.ปิยะสกล"เป็นหัวหน้าทีมจัดหาวัคซีนทางเลือกให้เอกชนฉีดเอง ขอปชช.อย่าไปที่อโคจร ลั่นทุกคนเป็นปชช.มีสิทธิตามรธน.
เมื่อเวลา 11.20 น.วันที่ 9 เมษยน 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการหารือกับตัวแทนกระทรวงสาธารณสุข นำโดย ศ.คลินิก เกียรติคุณ , นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร ที่ปรึกษา ศบค. , พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ , นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) , นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ฯลฯ เพื่อหารือถึงสถานการณ์ล่าสุดการเผยแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และแผนการแจกจ่ายวัคซีนป้องกัน covid-19
โดย นายกฯ ได้บอกให้สื่อมวลชนระมัดระวังตัวกันด้วยในช่วงนี้ พร้อมกล่าวว่า ที่ตนเคยพูดไว้ว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ตราบใดที่เรายังควบคุมไม่ได้ทั้งหมด แต่เมื่อเกิดแล้วเราต้องแก้ไข เราต้องดำเนินการต่อไปมันไม่มีปัญหาอะไรที่เกิดขึ้นแล้วจะจบปุ๊บปั๊บ โดยเฉพาะเชื้อโรค วันนี้เราต้องมองไปข้างหน้าว่า ขณะนี้เรามีโควิดแล้ว ข้างหน้าต่อไปจะมีอะไรตามมีอีกหรือเปล่าเพราะโรคติดเชื้อมันมีมาทุก 5 - 10 ปี เป็นเชื้อพันธุ์ใหม่
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนให้ความสำคัญกับการแพร่ระบาดในช่วงนี้ ทุกครั้งที่มียอดผู้ติดเชื้อมากขึ้นก็เป็นธรรมดาที่เราต้องมาพูดคุยกัน หาความร่วมมือระหว่างกัน ซึ่งวันนี้ได้เชิญทุกฝ่ายมาทำความเข้าใจร่วมกัน ทั้งในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และวันนี้ได้เชิญทางโรงพยาบาลเอกชนมาด้วย โดยเฉพาะสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งได้หารือในหลักการสำคัญคือทำอย่างไรจะมีวัคซีนเพิ่มขึ้น ซึ่งก็ต้องไปแก้ไขเรื่องของ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือ องค์การเภสัชกรรม ที่จะนำเข้าได้หรือไม่ อย่างไร ถือเป็นวัคซีนทางเลือกเพราะตอนนี้มีวัคซีนเฉพาะที่รัฐบาลนำเข้า ก็ต้องไปหาทางจะเอาวัคซีนเข้ามาได้อย่างไร เพราะกติกาตอนนี้คือเป็นวัคซีนฉุกเฉินก็ต้องมีการพูดคุยหารือกัน
"วันนี้ผมได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา โดยมี นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร อดีตรมว.สาธารณสุข เป็นหัวหน้าเรากำลังเดินหน้าไปสู่วัคซีนทางเลือกอีกอันหนึ่ง ซึ่งอันนี้จะมีผลต่อโรงพยาบาลเอกชนที่ยังไม่มีวัคซีนอยู่ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตด้วย ต้องคุยกับเขาเพราะมีหลักการหลายอย่างโดยเฉพาะทางด้านกฎหมายต้องไปหารือกันให้เรียบร้อย สำหรับผมยินดีที่โรงพยาบาลเอกชนแสดงความจำนง จะหาวัคซีนช่วยภาครัฐ ซึ่งภาครัฐก็ไม่ได้ปิดกั้นอะไรอยู่แล้ว ซึ่งก็ยังมีวัคซีนอีกหลายชนิดที่ยังไม่มีการจดทะเบียน เพราะการนำเข้ายังมีปัญหา ที่จะต้องไปแก้ หรือปลดล็อคตรงนี้เราจะทำอย่างไร ซึ่งไม่ใช่แค่เรา แต่มีปัญหาที่ต่างประเทศด้วย" นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ เราจะมีแนวทางว่า 1.วัคซีนที่รัฐจัดหา 2.วัคซีนทางเลือกที่เราจะนำเข้ามาใหม่เพิ่มเติมโดยภาคเอกชน ซึ่งจะต้องเกี่ยวข้องกับ อย.และองค์การเภสัชฯด้วย ซึ่งต้องใช้เวลาสักระยะ และ 3.ดูระยะเวลาการเข้ามาของวัคซีนเมื่อไหร่อย่างไร เพิ่มเติม ซึ่งเดือน เม.ย.จะเข้ามาอีก 1.5 ล้านโดส เดิมเราเข้ามาแล้ว 3.5 แสนโดส ส่วนเดือนต่อไปก็จะเข้ามาตามลำดับที่กำหนดไว้ เว้นเสียว่ามีปัญหาที่ต้นทางซึ่งเราคุมได้ยากเพราะวันนี้แพร่ระบาดไปทั้งโลก ซึ่งสำคัญที่เราตระหนกก็คือมีจำนวนการติดเชื้อเพิ่มขึ้นวันละ 200 - 300 - 400 คน แต่เราควบคุมได้ โดยหาตัวบุคคลที่ติดเชื้อมาตรวจ โดยมาอยู่ในสถานที่ควบคุม ซึ่งเราเตรียมการไว้ทั้งหมดว่าหากแพร่ระบาดมากขึ้นจะทำอย่างไร โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ เรากังวล แต่เรายืนยันว่านายกฯ ไม่ทอดทิ้งใคร
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ตนได้ข่าวว่าเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หมอ พยาบาลก็ติดเชื้อเข้าไปอีกเราต้องคิดว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เชื้อโควิดเข้าไประบาดในโรงพยาบาล ดังนั้นก็ต้องมีโรงพยาบาลสนามเพื่อตรวจคัดกรอง คนที่ไม่รักษา ก็ไม่ต้องรักษาไปอยู่โรงพยาบาลสนาม แทนจะได้แบ่งเบาภาระไปได้ด้วย ส่วนเรื่องน้ำยาตรวจยืนยันว่ามีเพียงพอไม่ได้มีปัญหาอะไร
"สรุปว่าวันนี้เราคุยกันว่าการบริหารจัดการวัคซีน การฉีดวัคซีนทางเอกชนก็พร้อมที่จะฉีดช่วยรัฐบาลในระยะแรก ซึ่งรัฐบาลก็จะจัดสถานที่ฉีดให้ ซึ่งเดิมก็ทำอยู่แล้ว แต่ต่อไปถ้ามีวัคซีนทางเลือกเข้ามาใหม่ เขาก็สามารถให้บริการของเขาเองได้ อันนี้ก็เป็นกติกาของเราขอให้ทุกคนระมัดระวังตัวเอง ขอให้ใส่หน้ากาก เว้นระห่าง ล้างมือ และเว้นไปในที่อโคจร ซึ่งที่อโคจรคือที่ที่ไม่ควรไป นี่คือมนุษย์ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร นายกฯจะไปสั่งห้ามมันก็ไม่ใช่ มันก็มีอย่างเดียวคือปิดสถานบริการ ซึ่งวันนี้ก็มีแผนในการปิดอยู่แล้ว โดยปิดไปแล้ว 190 กว่าแห่ง เหลืออีก 41 จังหวัด ก็จะปิดไปอีก แล้วใครเดือดร้อน เดี๋ยวก็โอดมาขอความช่วยเหลือจากรัฐอีก ซึ่งมันต้องร่วมมือกันทั้งหมด โทษกันไปกันมาไม่เกิดประโยชน์อะไรทั้งสิ้น เดี๋ยวคนรวยติด คนจนติด เราไปแบ่งแยกคนได้อย่างไร เพราะทุกคนก็คือคนไทย เราต้องทำงานเพื่อคนไทย นายกฯเข้ามาก็อย่างนี้แหล่ะ มันต้องทำให้เกิดความเป็นธรรม และวันหน้าก็จะมีการกระจายวัคซีนที่เข้ามาจำนวนมากไปเพิ่มเติมตามจังหวัดต่างๆด้วย ก็ต้องบริหารจัดการให้ดีก็แล้วกัน หลายคนก็อยากจะฉีดแต่ไม่รู้ไปฉีดที่ไหน ซึ่งวันนี้เรามี แอปหมอพร้อม ก็แจ้งเข้ามา ซึ่งเขาจะนัดไปเองจะนัดไปฉีดที่ไหนอย่างไร เพราะถ้าทุกคนเอาตัวเองว่างโดยให้หมอบริการตามนั้นก็ไม่ได้มันต้องช่วยกัน"
นายกฯ กล่าวต่อว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือกลุ่มเสี่ยง พื้นที่เสี่ยง กิจกรรมเสี่ยง พวกนี้ก็ต้องไปรับการดูแล รัฐบาลก็สามารถใช้มาตรการอื่นเพิ่มเติม สงกรานต์ปีนี้ขอให้เป็นสงกรานต์นิวนอร์มอลที่ปลอดภัยได้หรือไม่ การสรงน้ำพระก็ยังมีอันตรายอยู่ ที่ไหนก็ตามที่มีคนจำนวนมากติดได้หมด เพราะผู้ที่ติดเชื้อบางคนไม่แสดงอาการ สิ่งสำคัญคือการรดน้ำพระพุทธรูปที่บ้านดีที่สุด ส่วนหากจะมีการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ก็ขอให้ใส่หน้ากากกันทั้งสองฝ่ายด้วย ไม่ใช่ข้างหนึ่งใส่ ข้างหนึ่งไม่ใส่ ตนเห็นในรูปก็ไม่สบาย ไหว้และรดน้ำพระพุทธรูปได้กุศลที่สุดแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดนอกจากไหว้พระแล้วก็ต้องทำกุศล ทำบุญกับพระก็ได้พระ แต่ทำกุศลให้กับคนยากไร้คนจน เราต้องช่วยกันดูแลซึ่งกันและกัน มีจิตสำนักรู้คิด รู้ทำ รู้ปฏิบัติ ทุกศาสนาก็มีคำสอนอยู่แล้ว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตอนนี้ห่วงช่วงเดือนรอมฎอน วันนั้นก็ประกาศไปแล้วขอให้ระมัดระวังอย่างที่สุด สถานการณ์โลกยังไม่หยุด มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นทุกวันบางประเทศมีผู้เสียชีวิตเป็นแสนคน ของเราก็ไม่ได้มากหรือน้อยเพราะชีวิตก็คือชีวิต แต่ก็ช่วยดูว่าสถานการณ์ภายนอก อาเซียนและเราเป็นอย่างไร
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องการฉีดวัคซีนจะฉีดช้าหรือฉีดเร็วไม่ใช่ มันอยู่ที่จำนวนวัคซีนที่เรามีอยู่ หลายประเทศเขาได้มาโดยที่ไม่ต้องซื้อด้วยซ้ำไป เป็นการให้บริจาคมาให้ ประเทศเล็กๆ น้อยๆ หรือการทดลองในระยะก็ส่งให้ทดลองฉีดไปก่อน จะเอาแบบนั้นไหมหล่ะก็ไม่กล้าอีก เพราะมาตรฐานเราดีอยู่แล้ว เราก็ต้องคัดกรองตรงนี้ ไม่ใช่ว่าเราฉีดช้ากว่าเขา ก็วัคซีนมีเท่านี้ อย่างจังหวัดภูเก็ตที่มีการฉีดวัคซีนได้วันละ 14,000 คน ถ้าเต็มเราก็ฉีดได้ถ้ามีวัคซีน ทั้งนี้เราไม่ได้รับการบริจาควัคซีนแต่ ต้องซื้อเองทั้งหมด เพราะเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่อนข้างสูงต้องมองบริบททั้งหมด
"สิ่งสำคัญต้องบริหารความเข้าใจ บริหารความรู้สึกคนให้ได้ ลดความแตกแยก ลดความแบ่งแยกกลุ่มนู้นกลุ่มนี้ ทุกคนคือประชาชนของประเทศทั้งสิ้น ผมเองก็ใช่ ในมุมหนึ่งผมเป็นนักการเมือง เป็นนายกรัฐมนตรีก็ใช่ แต่ผมคือประชาชนไม่ล่ะ หมอพวกนี้เป็นประชาชนไหมล่ะ ทุกคนก็มีสิทธิ์เหมือนกันตามรัฐธรรมนูญ เพียงแต่ต้องกำหนดขั้นตอน ความเร่งด่วน ความสำคัญต่างๆใครที่อยู่หน้างานก็ต้องดูแลเขาหน่อยทั้งหมอและพยาบาลก็ติดเชื้อกัน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า วันนี้ต้องลดความแออัดของโรงพยาบาลให้ได้ จึงต้องตั้งงโรงพยาบาลสนาม เพราะหากอยู่ในโรงพยาบาลปกติก็จะไปแพร่เชื้อให้คนอื่นอีกก็ได้มีการหารือกันตรงนี้ ทั้งนี้ ได้มีการตั้งคณะกรรมการ โดยมี ศ.เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร เป็นหัวหน้ากับคณะทำงานของกระทรวงสาธารณสุข และเอกชน ที่จะร่วมกันหาวัคซีนเพิ่มเติม รวมถึงการบริหารการฉีดวัคซีนที่ผ่านมาต้องขอบคุณสมาคมโรงพยาบาลเอกชนที่ได้ช่วยมาตลอด แต่วันนี้หากได้วัคซีนมาเพิ่มก็จะสามารถฉีดได้เร็วขึ้น จากที่รัฐบาลจะต้องฉีดวัคซีน 30 ล้านอาจจะลดลงไป
"วันนี้เราต้องฉีดวัคซีนให้กับคนทั้งประเทศ 40 ล้านคน แต่หาวัคซีนมาได้ 35 ล้าน ที่เหลืออีก 5 ล้าน ก็ต้องเอาเข้ามาให้ได้ ซึ่งจะมีการหารือกับเอกชนว่าเอาไปฉีดได้ไหมอย่างไร ซึ่งมันมีกติกาเยอะ กฎหมายก็มี" นายกฯ ระบุ
ขณะที่ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.กล่าวว่า นอกจากนี้ ในที่ประชุมยังได้มีการหารือเรื่องการจัดหาวัคซีน ซึ่งนายกฯมีห่วงใย เนื่องจากมีข่าวออกมามากมายว่าวัคซีนมีผลประโยชน์กับใครบางคนหรือไม่ ผูกขาดการนำเข้าวัคซีนหรือไม่ เอื้อประโยชน์ให้กับเจ้าสัวหรือไม่ นายกฯ ไม่มีความสบายใจ เพราะที่ผ่านมารัฐมีการชี้แจงอยู่เรื่อยๆ แต่เนื่องจากมีความต้องการวัคซีนมากขึ้น จึงทำให้ดูเหมือนไม่เพียงพอ ทั้งนี้ ปัจจุบันตามแผน วัคซีนที่รัฐจัดให้ เราหามาได้ 61 ล้านโดส คือ วัคซีนของซิโนแวค และแอสตราเซเนกา จะฉีดให้ประชาชนได้ 31 ล้านคน รวมกับการจัดหาเพิ่มเติม จะได้ทั้งหมด 70 ล้านโดส ครอบคลุมประชาชน 35 ล้านคน นายกฯจึงถามว่าเราต้องการฉีดให้ได้เท่าไหร่เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ซึ่งผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติรายงานว่าจะต้องฉีดให้ได้ 45 ล้านคน คนละ 2 โดส จึงขาดอีก 10 ล้านโดส จึงต้องหาวัคซีนทางเลือกให้กับประชาชน ทางสมาคมโรงพยาบาลเอกชนจึงเสนอตัวว่าเขามีความสามารถเชื่อมโยงกับเอกชน แต่ขอให้รัฐช่วยอำนวยความสะดวก เพราะหน่วยงานเจ้าของวัคซีนต้องการจดหมายจากรัฐ และอยากให้องค์กรเภสัชกรรมช่วยสั่งซื้อแล้วให้เอกชนไปขอแบ่งซื้อ นายกฯระบุว่าเห็นด้วยทั้งสิ้น และมอบนโยบายไปว่าทำอย่างไรก็ได้ให้เอกชนมีส่วนร่วมใน 10 ล้านโดสนี้ และให้ภาครัฐสนับสนุน ซึ่งอาจจะได้ช้าหรือเร็ว หรือมีราคา แต่ต้องปลอดภัยกับประชาชน
"นายกฯ จึงได้มอบให้ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร ที่ปรึกษา ศบค.เป็นประธานชุดนี้ โดยมีผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ องค์การเภสัชกรรม องค์การอาหารและยา อธิบดีกรมควบคุมโรค ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เข้ามาเป็นกรรมการชุดนี้ และให้รายงานผลต่อนายกฯภายใน 1 เดือน เพื่อขับเคลื่อนการจัดหาวัคซีนทางเลือก ซึ่งขณะนี้เราได้ขึ้นทะเบียนวัคซีนไปแล้ว 3 ยี่ห้อ ประกอบด้วย ซิโนแวค แอสตราเซเนกา จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ส่วนวัคซีนทางเลือกอื่นๆ อาทิ ไฟเซอร์ สปุตนิก ซิโนฟาร์ม เพื่อกระจายความเสี่ยงให้หลากหลาย" นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ส่วนการบริหารจัดการการฉีดวัคซีน นายกฯมีความห่วงใยและแจ้งปลัดกระทรวงสาธารณสุขให้ฉีดให้เร็วขึ้น ขณะที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขรายงานว่า ตอนนี้เรามีศักยภาพสามารถฉีดได้ 1.4 หมื่นคนต่อวันที่ จ.ภูเก็ต ซึ่งประเทศอื่นใช้เวลาเป็นเดือน ศักยภาพเราไม่ธรรมดา อย่างไรก็ตาม การบริหารวัคซีนต้องเปลี่ยนตามสถานการณ์ เพราะเคสส่วนใหญ่ตอนนี้กระจุกอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชน แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชนได้รับวัคซีนไม่เพียงพอ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขจึงยืนยันว่าทำได้ และจะดำเนินการจัดให้โดยเร็ว ส่วนนายกฯสั่งการว่าการฉีดวัคซีนต้องปรับตามสถานการณ์ พื้นที่ บุคคล ตอนนี้ใน 41 จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อ บุคลากรทางการแพทย์ต้องได้ก่อน
เมื่อถามถึงกรณีเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ฉีดวัคซีนในพื้นที่เสี่ยงให้กับกลุ่มก้อนของสถานบันเทิง เช่น ที่ทองหล่อ จะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้มากน้อยเพียงใด นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า การให้บริการดังกล่าวเป็นไปตามกลุ่มเสี่ยงที่อยู่ในแผนที่ต้องดำเนินการ ดังนั้น จึงเป็นการให้บริการเชิงรุกของแต่ละหน่วยงาน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี