ศบค.ย้ำกักตัวในพื้นที่42จว.
โควิดลามหนัก
หยุดไม่อยู่ป่วยเพิ่ม965คน
‘เชียงใหม่’วันเดียว260ราย
ชลบุรีป่วยนับร้อยโยงผับฉาว
ประยุทธ์สั่งเวิร์กฟอร์มโฮม
สธ.ชี้ล็อกดาวน์ทางเลือกสุดท้าย
ยอดติดเชื้อโควิดในไทยยังพุ่งต่อเนื่อง วันเดียวเฉียดพัน 965 ราย ย้ำคนติดเชื้อต้องอยู่รพ.-ห้ามเดินทางข้ามจว. ฝ่าฝืนผิดทั้งแพ่ง-อาญา ระบุนายกฯสั่งหน่วยราชการ Work from Home เต็มรูปแบบพร้อมขอความร่วมมือเอกชนด้วย หวังลดกิจกรรมรวมตัว–ลดการเดินทางสกัดระบาด เผยล็อกดาวน์เป็นทางเลือกสุดท้าย เผยเชียงใหม่ ยอดป่วยยังพุ่งวันเดียว 260 คน ขยายรพ.สนามในม.แม่โจ้ กทม.เตรียมความพร้อมรพ.สนาม“เอราวัณ 2”รับผู้ป่วยโควิดเพิ่มอีกแห่ง ที่อาคารบางกอกอารีนา เขตหนองจอก เปิดให้บริการได้ 19 เม.ย.
เมื่อวันที่ 13 เมษายน ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) แถลงสถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งในไทยและทั่วโลก ว่า ขณะนี้ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อโควิด – 19 จำนวน 137,226,529 ราย วันเดียวติดเชื้อเพิ่ม 567,665 ราย ผู้เสียชีวิต 2,957,726 คน ส่วนเพื่อนบ้านไทยยังต้องจับตามองคือ กัมพูชา วันนี้ติดเชื้อ 277 ราย มาเลเซียติดเชื้อ 1,317 ราย ฟิลิปปินส์ติดเชื้อ 11,378 ราย
“สำหรับประเทศไทยมีติดเชื้อใหม่วันนี้มี 965 ราย เป็นผู้ติดเชื้อในประเทศและอยู่ในระบบบริการ 654 ราย คัดกรองเชิงรุก 302 ราย รักษาหายในรอบวัน 40 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่มของระลอกใหม่ ทั้งนี้ แนวโน้มยังเพิ่มขึ้นแต่ค่อนข้างชะลอตัว ไม่พุ่งชันเหมือน 2-3 วันที่ผ่านมา”นพ.โอภาสกล่าว
และว่า ตัวเลขระบาดระลอกใหม่ภาพรวมตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน -13 เมษายน อยู่ที่ 5,597 ราย ยังพบมากที่กรุงเทพมหานครสูงถึง 1,625 ราย โดยวันนี้กรุงเทพฯพบ 194 ราย รองลงมาเป็นเชียงใหม่ภาพรวม 880 ราย โดยวันนี้พบ 251 ราย ทั้งนี้ จ.เชียงใหม่พบมากเนื่องจากมีการระบาดในนักเรียน นักศึกษา เพราะเป็นช่วงปิดเทอม จึงขอให้งดกิจกรรมที่รวมตัวกันในกลุ่ม ส่วนจ.ชลบุรีวันนี้พบ 97 ราย เป็นการติดเชื้อจากสถานบันเทิงต่อเนื่องที่กรุงเทพฯ ซึ่งการระบาดจะอยู่ที่กรุงเทพและปริมณฑล รวมทั้งจังหวัดใหญ่ๆบางจังหวัดมีเหตุการณ์พิเศษ อย่างจ.ประจวบคีรีขันธ์ มีการแสดงคอนเสิร์ต มีคนรวมตัวกันหมู่บ้านจนเกิดการระบาด
จับตากทม.-เชียงใหม่ป่วยเกินร้อย/วัน
นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า ผู้ติดเชื้อรายวันข้อมูลตั้งแต่วันที่ 10-13 เมษายน สังเกตได้ว่าวันนี้ (13 เมษายนมีผู้ติดเชื้อ 42 จังหวัด เริ่มน้อยลงเมื่อเทียบจากวันอื่น อย่างวันที่ 12 เมษายนพบติดเชื้อ 62 จังหวัด เนื่องจากการเดินทางของประชาชนเริ่มอิ่มตัวและน้อยลง แต่ยังมี 2 จังหวัดที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด คือ เชียงใหม่ และกทม. มีผู้ติดเชื้อแต่ละวันเกิน 100 ราย โดยคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อกรุงเทพฯและเชียงใหม่พยายามควบคุมโรคและลดการระบาดลงให้ได้
นพ.โอภาสกล่าวอีกว่า การระบาดรอบนี้ส่วนใหญ่เกิดในคนไทย อายุเฉลี่ย 20-29 ปี เป็นวัยเริ่มทำงาน นักเรียนนักศึกษา ผู้ชายและผู้หญิงใกล้เคียงกัน และกระจายหลายจังหวัด ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นจากสถานบันเทิงมี 2,626 ราย (ข้อมูลถึง 12 เมษายน) โดยกลุ่มนี้ที่เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิงเป็นใครบ้าง ข้อมูลวันที่ 1-12 เมษายนพบว่า ในกทม.เป็นนักท่องเที่ยว 39% รองลงมาเป็นพนักงาน 31% ผู้สัมผัส 11% นักร้องนักดนตรี 6% และอื่นๆ 12% ส่วนชลบุรีพบว่า เป็นนักเที่ยวถึง 63% สมุทรปราการก็นักท่องเที่ยวอีกเช่นกันถึง 68% ขณะที่ประจวบคีรีขันธ์ก็เป็นนักท่องเที่ยวถึง 78% เกิดจากการจัดคอนเสิร์ตใหญ่แห่งหนึ่งจนเกิดติดเชื้อจำนวนมาก ดังนั้น เห็นได้ว่าการจัดกิจกรรมของคนหมู่มากเป็นจุดเสี่ยงสำคัญ ขอให้หลีกเลี่ยงจนถึงเดือน เมษายนเป็นอย่างต่ำ
ญาติผู้สัมผัสเสี่ยงสูงโอกาสติด50-100%
อย่างไรก็ตาม เมื่อพบการติดเชื้อจะหาผู้สัมผัส โดยเฉพาะผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่ต้องกักตัวอย่างน้อย 14 วันและตรวจหาเชื้อทางห้องปฏิบัติการ โดยข้อมูลที่ผ่านมาพบว่า เมื่อมีผู้ติดเชื้อ 1 คน จะมีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงอย่างน้อย 5 คน ซึ่งอัตราการติดเชื้อของผู้สัมผัสเสี่ยงสูงอยู่ที่ร้อยละ 5-7 ทั้งนี้ ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจะพบว่า หากเป็นครอบครัว พ่อแม่ ลูก สามีภรรยาโอกาสติดเชื้อ 40-50% บางกลุ่มสูงถึง 100% ส่วนผู้สัมผัสที่เกิดจากการพูดคุยกันมากกว่า 5 นาที หรืออยู่ในห้องเดียวกันมากกว่า 15 นาที โดยไม่ใส่หน้ากากอนามัยมีโอกาสติดเชื้อต่ำกว่า 10% ส่วนกรณีกลุ่มเสี่ยงต่ำพบกับผู้ติดเชื้อไม่ถึง 5 นาที และสวมหน้ากากอนามัยทั้งคู่ สิ่งสำคัญขอให้สังเกตอาการ หากมีไข้ ไอ ขอให้ไปพบแพทย์
สถานการณ์ส่วนใหญ่ระบาดข้ามจว.
นพ.โอภาสยังกล่าวถึงการแบ่งระดับพื้นที่เสี่ยงตามสีว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับมาตรการใดๆของ ศบค. การแบ่งสีเป็น 5 ระดับ สีขาวคือ ไม่มีผู้ติดเชื้อ สีเขียวคือ มีผู้ติดเชื้อจากจังหวัดหนึ่งไปจังหวัดข้างเคียง โดยไม่มีการติดเชื้อในพื้นที่ สีเหลืองคือ มีผู้ติดเชื้อจากจังหวัดอื่นกลับมาจังหวัดตัวเองและติดเชื้อในครอบครัว ซึ่งการติดเชื้อลักษณะนี้มีโอกาสติดเชื้อถึง 40-50% ส่วนสีส้มคือ มีการระบาดในชุมชน แต่ติดเชื้อน้อยกว่า 50 ราย และสีแดงคือ พื้นที่ระบาดกว้างขวางมากกว่า 50 รายขึ้นไปมี กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ชลบุรี สมุทรปราการ นราธิวาส(ติดเชื้อในเรือนจำ) ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสาคร และสระแก้ว
ย้ำคนติดเชื้อต้องอยู่รพ.
สำหรับการจัดแบ่งระดับความรุนแรงสถานการณ์นั้น แต่ละจังหวัดมีวิธีการ มาตรการต่างกัน เราไม่ใช่มาตรการปูพรม อย่างมาตรการสาธารณสุข เราใช้การตรวจ คัดกรองค้นหา และนโยบายสาธารณสุขผู้ติดเชื้อทุกคนต้องอยู่รพ. เพื่อที่ได้ติดตามอาการใกล้ชิด เนื่องจากวันนี้ดี พรุ่งนี้อาจไม่ใช่ และเมื่ออยู่รพ.จะมีมาตรการไม่ให้เกิดแพร่เชื้อไปสู่คนอื่น หากอยู่รพ. 10 วันไม่มีอาการก็กลับได้ แต่ด้วยสายพันธุ์นี้อาจต้องอยู่นานถึง 14 วัน ซึ่งคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญกำลังพิจารณาเรื่องนี้ และอีกอย่างที่กังวล คือ เรื่องสุขภาพจิต หลายคนกังวลว่าถูกตีตราเมื่อป่วยแล้วจะเป็นคนผิดไม่กล้าไปตรวจก็มี
รู้ตัวติดเชื้อห้ามข้ามจังหวัด
“นอกจากนี้ ในพ.ร.บ.โรคติดต่อ หากเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อสั่งให้ท่านมารักษาที่รพ.แล้วท่านไม่มาจะมีความผิดทางกฎหมายอาจมีโทษจำคุก ดังนั้น ใครที่ชักชวนคนอื่นให้อยู่กับบ้านเวลาเป็นผู้ติดเชื้อแล้วเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง สำหรับกรณีเน็ตไอดอลคนนี้ทางกระทรวงหรือที่เกี่ยวข้องคงจะติดต่อ ไปอีกครั้ง”นพ.โอภาสกล่าว และย้ำว่ากรณีที่ทราบว่าตัวเองเป็นผู้ติดเชื้อแล้ว ห้ามเดินทางข้ามจังหวัดเด็ดขาด เพราะจะเท่ากับเอาโรคติดต่ออันตรายไปสู่จังหวัดอื่น ซึ่งความเสี่ยงเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเดินทาง ต้องย้ำอีกครั้งว่าโรคนี้เป็นโรคติดต่ออันตราย คำสั่งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ถ้าไม่ปฏิบัติตามมีโทษทางกฎหมาย กรณีไม่ปฏิบัติตามแล้วเกิดความรุนแรง มีความเสียหาย จะมีความผิดทั้งทางอาญาและทางแพ่ง
ล็อคดาวน์ทางเลือกสุดท้าย
“ภาพรวมการกระจายแม้จะมาก แต่ส่วนใหญ่เป็นจังหวัดสีเขียวคือ จากพื้นที่หนึ่งไปพื้นที่หนึ่ง แต่ยังไม่ได้ระบาดกว้างขวาง เหมือนจังหวัดสีแดง แต่คาดการณ์ว่า หากเราไม่ทำอะไร ไม่มีมาตรการใดๆ จะมีผู้ติดเชื้อมากกว่า 9 พันราย แต่ตอนนี้เรามีมาตรการปิดสถานบันเทิง ประชาชนร่วมมือควบคุมโรค ตัวเลขจึงอยู่ที่ 900 กว่าคน ดังนั้น สิ่งที่ต้องเพิ่มคือ ลดกิจกรรมการรวมตัว ก็จะลดลงไปได้และเหลือกว่า 500 คน และหากเราทำงานที่บ้านหรือ Work from home ตามความจำเป็นจะเหลือผู้ป่วยเฉลี่ยไม่ถึง 400 คน ส่วนที่ว่าต้องล็อกดาวน์หรือไม่ เป็นทางเลือกสุดท้าย ซึ่งเราก็ไม่ล็อกดาวน์ทั้งหมด แต่เราจะล็อกดาวน์เฉพาะจุด ที่เรียกว่า Target lock down ทำให้เหลือผู้ติดเชื้อกว่า 100 คน” นพ.โอภาส กล่าว
นายกฯสั่งหน่วยราชการทำงานที่บ้าน
นพ.โอภาสกล่าวเพิ่มเติมถึงนโยบายทำงานที่บ้านว่า เมื่อวันที่ 12 เมษายน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งหลังสงกรานต์เป็นต้นไป หน่วยงานราชการทุกแห่งให้ใช้มาตรการ Work from Home เต็มรูปแบบมาใช้โดยไม่เสียเรื่องการบริการประชาชน ทั้งขอความร่วมมือภาคเอกชนให้ใช้มาตรการทำงานที่บ้านหลังสงกรานต์จนถึงสิ้นเดือนเมษายน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขมีหนังสือด่วนที่สุดเมื่อวันที่ 11 เมษายนถึงผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป ผู้อำนวยการกอง/ศูนย์/กลุ่ม และหน่วยงานสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง แนวทางปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง Work from Home และหรือการปฏิบัติงานเหลื่อมเวลา เนื่องจากการระบาดโควิดระลอกใหม่ โดยแนบแนวทางการดำเนินการให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 19 เมษายนเป็นต้นไป บังคับใช้กับหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยสรุปคือ ให้เจ้าหน้าที่ที่เสี่ยงใกล้ชิด หรือสัมผัสผู้ป่วยเข้าข่ายหรือผู้ป่วยยืนยันสังกัดสำนักงานปลัด สธ. รายงานผุ้บังคับบัญชาขออนุญาตปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง และหากมีอาการต้องสงสัยเข้าข่ายติดโควิดให้ไปพบแพทย์โดยด่วน และรายงานต่อผู้บังคับบัญชาทันที
ทำเนียบฯสกัดโควิดเข้มจัดระเบียบสื่อ
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สํานักโฆษกประจำสํานักนายกรัฐมนตรีออกแนวทางปฏิบัติงานของสื่อมวลชนประจำทำเนียบฯช่วงสถานการณ์โควิด-19 ระบาดอีกระลอกว่า สำนักโฆษกฯขอความร่วมมือสื่อมวลชนที่เข้ามาปฏิบัติงานในทำเนียบฯตามแนวทาง ศบค.ดังนี้ 1.มาตรการWork from home เข้มข้น จนถึง 30 เมษายน ลดการสัมผัสใกล้ชิด จึงขอให้สื่อจำกัดการเข้ามาปฏิบัติงาน ดังนี้ สื่อทีวี อนุญาตสังกัดละ 1 ทีม ขณะที่สื่ออื่นสังกัดละ 1 คน โดยขอให้แต่ละสังกัดส่งรายชื่อสื่อที่จะเข้ามาปฏิบัติงานในรอบสัปดาห์ล่วงหน้า เริ่มวันศุกร์ที่ 16 เมษายน
เชียงใหม่พุ่ง260คน-ตั้งรพ.สนามที่แม่โจ้
สถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 หลายจังหวัดยังน่าเป็นห่วง เนื่องจากมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยนพ.วรวุฒิ โฆวัชรกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสันทราย จ.เชียงใหม่ เข้าตรวจสอบศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งจะใช้เป็นที่ตั้งโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติม หลังแนวโน้มผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง และพบมีนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแม่โจ้หลายรายที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต้องกักตัว รวมทั้งติดเชื้อโควิดมากกว่า 10 ราย
ดร.สุดเขต สกุลทอง ผู้ช่วยอธิบการบดี มหาวิทยาลัยแม่โจ้เผยว่า ผู้ว่าฯเชียงใหม่ขอใช้พื้นที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ตั้งโรงพยาบาลสนามสำรองเพิ่มเติม เพราะสถานการณ์ในจ.เชียงใหม่ มีผู้ติดเชื้อเกือบ 1,000 ราย จนศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯที่รับได้ 400 เตียง อาจรองรับไม่พอ ขณะที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ใช้หอพักนักศึกษาเป็นที่กักตัวของนักศึกษา แบ่งเป็นหอชาย 40 เตียง และหอพักหญิง 160 เตียง ส่วนที่อาคารฟาร์ม ที่อยู่ในพื้นที่บ้านปง ต.หนองหาร อ.สันทรายได้ 60 เตียง ส่วนมหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดแพร่ 160 เตียง และมหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.ชุมพร เปิดหอพักเป็นที่กักตัวให้นักศึกษา
สำหรับ ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดในจ.เชียงใหม่ สำนักงานสาธารณสุขเชียงใหม่เผยว่า จากการคัดกรองพบผู้ติดเชื้อวันเดียวพุ่งสูงถึง 260 คน
ประจวบฯติดเพิ่ม141สะสม334ราย
เช่นเดียวกับ นพ.สุริยะ คูหะรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด(สสจ.) ประจวบคีรีขันธ์เปิดเผยว่า ในรอบ 24 ชั่วโมง จ.ประจวบคีรีขันธ์มีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อโควิด-19 เพิ่ม 141 คน ทำให้ยอดสะสมผู้ติดเชื้อในการระบาดระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 1-13 เมษายนมี 334 คน ทั้งนี้ หลังหญิงอายุ 26 ปีชาว จ.นนทบุรี มีประวัติทำงานพาสไทม์ที่คริสตัลผับ กทม.และสามี และตรวจพบเป็นผู้ติดเชื้อ เดินทางมาเที่ยวที่มายาผับ อ.หัวหิน ซึ่งจัดคอนเสิร์ตโจอี้บอย จนเกิดระบาดต่อเนื่อง ทั้งนี้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการรุนแรง มีอาการป่วยเล็กน้อย 3 คนเข้ารักษาตัวกระจายในโรงพยาบาลภายในจังหวัด ขณเที่ประชาชนกลุ่มเสี่ยงเดินทางมาตรวจหาเชื้อโควิด-19 ต่อเนื่องที่รพ.หัวหิน เฉลี่ยวันละ 500 คน ทำให้ต้องส่งตัวอย่างสารคัดหลั่งบางส่วนไปตรวจที่ห้องปฎิบัติการที่สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 5 จ.ราชบุรี เพื่อให้ทราบผลเร็วขึ้น
สสจ.รวมหลักฐานฟันเจ้าของผับ
นพ.สุริยะกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ได้แจ้งให้ผู้เดินทางไปเที่ยวสถานบริการ ระรื่นชื่นบาร์ ทองสุขคาเฟ่ และไลน์อัพ ที่อ.หัวหิน ไปเที่ยวสถานบริการ 33 สเตชั่น ไพรเวท แตงเบริ์ด และมาย แองเจิ้ลที่ อ.เมืองประจวบ คีรีขันธ์ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนไปรายงานตัวที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน ส่วนประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่เคยไปในสถานที่ วันและเวลาเดียวกับผู้ติดเชื้อรายใดรายหนึ่งขอตรวจหาเชื้อได้ที่โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์และโรงพยาบาลหัวหิน นอกจากนี้ นิติกร สสจ.ประจวบคีรีขันธ์ รวบรวบพยานหลักฐานดำเนินคดีกับเจ้าของสถานบันเทิงดังกล่าว ตามพ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558
ชลบุรีเจออีก101สะสม611คน
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชลบุรี รายงานผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 101 คน ทำให้ยอดติดเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่เดือนเมษายนสะสม 611 คน จากการสอบสวนโรค พบเชื่อมโยงกับสถานบันเทิงในกทม. และติดจากสถานบันเทิงในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มผู้สัมผัสและบุคคลในครอบครัวผู้ป่วยติดเชื้อ 4 คน ไปเที่ยวงานมอเตอร์โชว์ 1 คนจากต่างจังหวัดเข้ามารักษาชลบุรี 11 คน กทม 2 คน อ.ปลวกแดง จ ระยอง 9 คน อยู่ระหว่างสอบสวนโรค 48 คน โดยวันนี้ค้นหาผู้สัมผัส 499 ราย และค้นหาเชิงรุกอีก 1,792 คนอยู่ระหว่างการรอผลตรวจ ทั้งนี้ จ.ชลบุรียังค้นหาผู้สัมผัส และค้นหาเชิงรุกอย่างเข้มข้น เพื่อสกัดการระบาด ซึ่งการระบาดในเขตอ.เมืองเริ่มชะลอตัว แต่อ.บางละมุง มีผู้ติดเชื้อมากขึ้น จากการค้นหาพนักงานและผู้ไปเที่ยวสถานบันเทิง
โคราชลามเจออีก9สะสม123คน
นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา แถลงสถานการณ์ระบาดไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่จ.นครราชสีมา ระลอกใหม่เมษายนว่า วันนี้ (13 เม.ย.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่เพิ่มอีก 9 ราย รวมสะสม 6 วัน ตั้งแต่วันที่ 6-12 เมษายน 123 ราย ในจำนวนนี้มีบุคลากรแพทย์ติดเชื้อ 2 ราย ที่โรงพยาบาลชุมพวง และโรงพยาบาลแดง และมีผู้ป่วยอาการรุนแรง 2 ราย เป็นเด็กและผู้สูงอายุ มีอาการทางปอด รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา
ห่วงคลัสเตอร์ร้านเนื้อย่างติด14คน
ผู้ว่าฯโคราชกล่าวต่อว่า คลัสเตอร์ติดเชื้อที่น่าเป็นห่วงคือ คลัสเตอร์ร้านเนื้อย่างเกาหลีร้าน “ น้ำหวาน” ในซอย 30 กันยา เขตเทศบาลนครนครราชสีมา พบผู้ป่วยจำนวน มากถึง 14 ราย เป็นเจ้าของร้านและพนักงานเสิร์ฟ ขณะนี้เจ้าหน้าที่เร่งค้นหาผู้ที่เข้ามาใช้บริการวันที่ 5 เมษายนมาตรวจหาเชื้อ และประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่มาใช้บริการร้านไปตรวจและกักตัวเอง คาดว่ามีผู้เกี่ยวข้องมาใช้บริการร้านนี้ทั้ง 2 สาขาเป็นจำนวนมาก
16เมย.เปิดรพ.สนาม240เตียง
ส่วนการเตรียมโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิดนั้น ผู้ว่าฯโคราชเผยว่า เจ้าหน้าที่เร่งปรับพื้นที่ของโรงยิมเนเซียม ชาติชายฮอลล์และลิปตพัลลภฮอลล์ ในสนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวา 2550 อ.เมืองนครราชสีมา เป็นโรงพยาบาลสนามขนาด 240 เตียง คาดเปิดรับผู้ป่วยได้16 เมษายน ขณะที่มหาวิทยาเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) จะเปิด รพ.สนามรองรับได้อีก 200 เตียง นอกจากนี้ ผู้ว่าฯ นครราชสีมาเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ตรวจคุมเข้มร้านอาหารประเภทร้านอาหารแบบบุฟเฟต์ เนื้อย่าง หมูกระทะ และร้านอาหารอื่นที่มีการรวมตัวของประชาชนจำนวนมาก รวมถึงตลาดสด ตลาดนัด ให้ดำเนินการตามมาตรการสาธารณสุขเข้มงวด โดยเฉพาะการตรวจคัดกรองผู้เข้ามาใช้บริการ หลังพบการระบาดในร้านเนื้อย่างเกาหลีก่อนหน้านี้
กทม.เปิดรพ.สนามเพิ่มรับได้350เตียง
ด้านพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า สถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในกรุงเทพมหานครมีเพิ่มขึ้น กรุงเทพมหานคร (กทม.) จึงเตรียมความพร้อมตั้งโรงพยาบาลสนามรองรับผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มเติมอีก 1 แห่งคือ อาคารบางกอกอารีนา เขตหนองจอก โดยใช้ชื่อว่า โรงพยาบาลเอราวัณ 2 สามารถรองรับผู้ป่วยได้ 350 เตียง คาดว่าจะเปิดให้บริการวันที่ 19 เมษายน
ทั้งนี้ กทม. จัดตั้งโรงพยาบาลสนามสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 แล้วจำนวน 4 แห่ง ประกอบด้วย 1.โรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน เขตบางขุนเทียน รองรับได้ 500 เตียง 2.โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ เขตทวีวัฒนา รองรับได้ 200 เตียง 3.สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา บางบอน เขตบางบอน (โรงพยาบาลเอราวัณ 1) รองรับได้ 200 เตียง และ4.ศูนย์กีฬาบางกอกอารีนา เขตหนองจอก (โรงพยาบาลเอราวัณ 2) รองรับได้ 350 เตียง (อยู่ระหว่างปรับปรุงสถานที่) รวมจำนวนเตียงที่รองรับผู้ป่วยได้ 1,250 เตียง
ตร.ติดโควิดทะลุ231นายกักตัวนับพัน
พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล กฤตพิทยบูรณ์ รอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (โฆษก ตร.) เผยว่า ข้อมูลข้าราชการตำรวจติดเชื้อและเสี่ยงติดเชื้อโควิดตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม2563-12 เมษายน เวลา 20.18 น.มีดังนี้ 1.กลุ่มติดเชื้อ-ติดเชื้อสะสม 231 นายรักษาหาย 78 นายอยู่ระหว่างรักษาตัว 153 นาย กลุ่มเสี่ยงกักตัวสะสม 5,259 นาย ครบกำหนดกักตัว 3,925 นายอยู่ระหว่างกักตัว 1,334 นาย 2.รักษาตัวในรพ.ตร. 58 นาย รักษาตัวในรพ.อื่น 95 นาย 3.ผู้ติดเชื้อแต่ละหน่วยบช.น.60 นายภ.5 23 นายบช.ก. 17 นายภ.1 8 นายบช.ตชด. 6 นายภ.3 และ ภ.7 หน่วยละ 5 นายบช.ทท., ภ.2, และบช.สอท. หน่วยละ 4 นายภ.9,สพฐ.ตร. และ สกพ.น่วยละ 2 นาย บช.ศ.,รพ.ตร.,บช.ปส.,บช.ส.สทส.,สง.ก.ตร.,สตม.,บ.ตร.,สกบ. และ วน. หน่วยละ 1 นาย
42จว.ประกาศกักตัวคนเดินทางเข้าพื้นที่
วันเดียวกัน ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.)เปิดเผยจังหวัดที่มีคำสั่ง/ประกาศให้กักตัวผู้ที่เดินทางมาจากนอกพื้นที่เพิ่มเติมล่าสุด ข้อมูลจนถึงเวลา 12.00 วันนี้ (13 เมษายน) รวม 42 จังหวัด ดังนี้ ภาคเหนือ 14 จังหวัด ได้แก่ กำแพงเพชร เชียงใหม่ ตาก น่าน พะเยา เพชรบูรณ์ แพร่ ลำพูน อุทัยธานี นครสวรรค์ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก พิจิตร และลำปาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 15 จังหวัด ได้แก่ ชัยภูมิ นครพนม บึงกาฬ บุรีรัมย์ มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร สกลนคร หนองคาย หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ อุดรธานี นครราชสีมา ขอนแก่น และอุบลราชธานี ภาคกลาง/ภาคตะวันออก/ภาคตะวันตก 5 จังหวัด ได้แก่ ชัยนาท สระบุรี สิงห์บุรี สระแก้ว และลพบุรี ภาคใต้ 8 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร ตรัง นราธิวาส ปัตตานี พังงา สงขลา สตูล และระนอง ทั้งนี้ การกักกันตัวเป็นไปตามเงื่อนไขของแต่ละจังหวัดกำหนด
ลำปาง กระจาย6อำเภอ66ราย
ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดลำปาง รายงานเกี่ยวกับตัวเลขผู้ป่วยติดเชื้อโควิด 19 ประจำวันที่ 13 เมษายน 2564 ข้อมูล ณ 09.00 น. พบผู้ป่วยกระจายใน 9 อำเภอของจังหวัดลำปาง มีอำเภอเมืองปาน 2 ราย แจ้ห่ม 12 ราย งาว 1 ราย ห้างฉัตร 3 ราย แม่เมาะ 5 ราย เสริมงาม 5 ราย เกาะคา 4 ราย แม่ทะ 2 ราย และอำเภอเมืองากสุดคือ 29 ราย และเป็นผู้ป่วยจากจังหวัดเชียงใหม่ 2 ราย ปทุมธานี 1 ราย รวมผู้ป่วยตั้งแต่วันที่ 6-13 เมษายน 2564 จำนวน 66 ราย ส่วนอำเภอที่ยังไม่พบผู้ป่วย ณ เวลานี้มี 4 อำเภอ คือ อำเภอสบปราบ เถิน แม่พริก และอำเภอวังเหนือ
กาฬสินธิ์ปิดผับทั่วเมือง
นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด- 19) ในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 จนถึงล่าสุดวันที่ 13 เมษายน 2564 พบผู้ติดเชื้อรวม 3 ราย นอกจากนี้ยังมีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจากผู้ป่วยทั้ง 2 ราย และกลุ่มเสี่ยงสูงกลุ่มอื่นๆเบื้องต้น 3 ราย ซึ่งอยู่ระหว่างการรอผลยืนยัน
นายทรงพล กล่าวอีกว่า จากสถานการณ์ดังกล่าวในการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อวันนี้ จึงได้มีคำสั่ง จ.กาฬสินธุ์ ปิดสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ได้แก่ สถานบริการ สถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ สถานประกอบกิจการอาบน้ำ สถานประกอบกิจการ อาบ อบ นวด หรือสถานที่อื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน เป็นเวลา 14 วัน นับตั้งแต่วันที่ 13 -26 เมษายน 2564 หากฝ่าฝืนมีโทษทั้งจำทั้งปรับ และกำชับแต่ละอำเภอเข้มงวดในการจัดงานรวมคนจำนวนมาก พร้อมทั้งขอให้ประชาชนใน จ.กาฬสินธุ์ ร่วมมือกันปฏิบัติตามมาตรการ DMHTT โดยการเว้นระยะห่าง ใส่แมส ล้างมือ ตรวจวัดอุณหภูมิ ร่วมมือใช้แอปฯไทยชนะ พร้อมกับหลีกเลี่ยงแหล่งชุมชนแออัด เพื่อปลอดภัยจากเชื้อโควิด-19
“องอาจ” ลั่นปชป.พร้อมสู้ศึกสนามเลือกตั้ง เผยมี 2 ตัวเก็งรอ กก.บห.ชี้ขาดลงชิงผู้ว่าฯกทม.เหน็บ“ชัชชาติ-บิ๊กแป๊ะ” ชิงออกโรงก่อนก็แค่นักมวยวอร์มอัพ แนะรอดูวันชกจริงดีกว่า
13 เม.ย.2564 นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และประธานยุทธศาสตร์ กรุงเทพ ในฐานะผู้รับผิดชอบพื้นที่กทม.กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมการเลือกตั้งท้องถิ่นในกทม. ว่า ขณะนี้พรรคได้เตรียมไว้2 ส่วนคือ เลือกตั้งสมาชิกสภากทม.(สก.) และ ผู้ว่าการกรุงเทพมหานคร(กทม.) เพราะคาดว่าจะเลือกตั้งพร้อมๆกัน โดยตลอดช่วงปี20 เราได้เตรียมผู้สมัคร จัดทำนโยบายที่ใช้ในการหาเสียง และทีมงานช่วยดำเนินการรณรงค์หาเสียงไว้แล้ว โดยนโยบายก็คือการเข้ามาแก้ไข พัฒนากทม. ซึ่งได้จากการระดมความคิดเห็นจากบุคคลากรของพรรค เช่นสส. อดีตสก. สข. ตัวแทนสาขาพรรค. และระดมความเห็นจากคนภายนอกที่มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งจัดให้มีการแสดงความเห็นทางออนไลน์ตามหัวข้อต่างๆ เช่นปัญหา PM2.5 โดยเข้ามาเสนอนโยบายต่างๆ ขณะเดียวกันก็มีการเจาะลึกลงไปเฉพาะกลุ่มเพื่อจะได้ทราบถึงความต้องการของคนกทม.อย่างแท้จริงว่า อะไรที่เป็นปัญหาที่ควรแก้ไข โดยจัดความสำคัญ5 ลำดับไว้หากมีโอกาสได้เข้าไปทำงานไม่ว่าในสถานะสก. หรือผู้บริหาร ตอนนี้ถือว่านโยบายเหล่านี้มีความสมบูรณ์พร้อมที่จะใช้รณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง และพร้อมที่จะบริหารกทม.หากได้รับโอกาสนั้น
ส่วนเรื่องตัวบุคคล ในส่วนสก. พรรคมีบุคคลากรอยู่แล้วประมาณ 20 กว่าคน ส่วนมากแสดงความจำนงที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งกับพรรคต่อไป ส่วนที่เราต้องสรรหาใหม่อีกประมาณ 30 คน ขณะนี้มีประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ อีก10เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือบางเขตมีคนสนใจมากกว่า1 คน พรรคให้โอกาสทำงานในพื้นที่ เมื่อถึงเวลาเหมาะสมก็จะประชุมคณะทำงานสรรหาผู้สมัครสก.พิจารณาว่าใครเหมาะสม
สำหรับผู้สมัครเลือกตั้งผู้ว่ากทม. พรรคได้ดำเนินการสรรหาตัวผู้สมัครมาตั้งแต่ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปมาแล้ว โดยมีการพูดคุยคนที่สนใจและคนที่พรรคคิดว่าน่าสนใจมาประมาณ 3-4 ท่าน จนขณะนี้เหลืออยู่2 ท่านที่อยู่ในข่ายพรรคจะพิจารณา เมื่อถึงเวลาเหมาะสมที่ต้องตัดสินใจ ก็จะมีการประชุมคณะกรรมการสรรหาและคณะกรรมการบริหารเพื่อตัดสินใจครั้งสุดท้าย คิดว่าคงไม่น่าจะมีใครมาขอลงสมัครเพิ่มอีกแล้ว เกณฑ์ในการเลือกผู้สมัครของเราก็คือมีรู้ความสามารถ เป็นบุคคลสาธารณะ ความมุ่งมั่น มีบุคคลิกลักษณะที่พร้อมจะทำงานร่วมกับคนอื่นได้ และมีภาวะผู้นำผู้บริหารระดับสูง
เมื่อถามว่าเป็นเพราะพรรคได้รับบทเรียนมาจากการทำหน้าที่ผู้ว่ากทม.จากม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ใช่หรือไม่ นายองอาจกล่าวว่า ปกติทุกครั้งหลังที่มีการเลือกตั้ง เราก็จะมีการนำทุกอย่างมาสรุปบทเรียนว่าต้องปรับปรุง แก้ไขพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นในการทำงานครั้งต่อไปอย่างไร ซึ่งเป็นกระบวนการในระบอบระบบประชาธิปไตย และกระบวนการพัฒนาตนเองต่อไป
เมื่อถามว่ามีหลายคนได้ชิงเปิดตัวลงสมัครผู้ว่าฯกทม.ไปแล้ว เช่นนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรมว.คมนาคม และพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผบ.ตร. หรือพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่ากทม.คนปัจจุบัน เท่าที่เห็นมีความกังวลหรือไม่ นายองอาจกล่าวว่าพรรคได้ผ่านสนามเลือกตั้งผู้ว่ากทม.มาหลายสมัย ตั้งแต่ปี 2528 จึงปกติธรรมดาที่จะมีผู้สมัครเป็นบุคคลที่น่าสนใจจำนวนมาก เราจึงไม่วิตกกังวลว่าใครจะลงสมัคร แต่จะเน้นการเตรียมความพร้อมตั้งแต่รณรงค์หาเสียงจนถึงวันเลือกตั้ง หากประชาชนมอบความไว้วางใจให้ทำงานก็ต้องพร้อมตั้งแต่วันแรกที่ได้รับตำแหน่งเลย
“ เราไม่ต้องกังวลว่าพรรคการเมืองอื่นจะเป็นใคร เพราะทุกครั้งเราต้องแข่งขันกับผู้สมัครที่น่าสนใจ คนดังๆทั้งนั้น ผมว่า คนที่แสดงตัวออกมาตอนนี้ก็เหมือนนักมวยที่กำลังฟุตเวิร์ค วอร์มอัพร่างก่อนเตรียมขึ้นชกเท่านั้น พอถึงเวลาชกจริงค่อยมาดูกันว่าใครจะชนะ หรือคนกรุงเทพจะเลือกใครดีกว่า”
ต่อข้อถามว่าหมายความว่า แม้ครั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์จะไม่มีส.ส.เขตในกทม.เลยก็ไม่เป็นปัจจัยสำคัญในการลงคะแนนของคนกทม.ใช่หรือไม่ นายองอาจกล่าวว่า ไม่เกี่ยวข้องแน่นอนเพราะในอดีตเราได้ส.ส.น้อยกว่าพรรคไทยตั้ง1ใน3 เรายังสามารถชนะเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ได้
ส่วนนโยบายประชานิยมของรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคพลังประชารัฐ เช่น คนละครึ่ง เรารักกัน ที่ดูเหมือนประชาชนจะพึงพอใจจะทำให้พรรคต้องกังวลหรือไม่ นายองอาจกล่าวว่า อย่าลืมว่าพรรคร่วมรัฐบาลก็ยังมีพรรคประชาธิปัตย์ และอีกหลายพรรคร่วมด้วย ถ้าไม่มีพรรคเหล่านี้ก็ไม่มีรัฐบาล อย่างไรก็แล้วแต่อยู่ที่ประชาชนจะคิดตัดสินใจ เรามีหน้าที่สรรหาคนที่ดีที่สุดเสนอให้เขาเลือกเท่านั้น
เมื่อถามว่านโยบายหาเสียงครั้งนี้จะเป็นเรื่องเก่าที่เป็นปัญหาเดิมๆในกทม. หรือมีนโยบายใหม่เกิดขึ้น นายองอาจกล่าวว่าจะมีทั้งปัญหาเดิมๆ และปัญหาใหม่เช่น PM2.5 ในการเลือกตั้งปี 56 เราไม่ได้ชูเรื่องนี้เพราะปัญหายังไม่รุนแรงขนาดนี้ เราจะต้องมีวิธีเสนอว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร ส่วนปัญหาเก่าๆ น้ำท่วม ขยะ สิ่งแวดล้อม จราจร ปากท้องของประชาชน ก็ยังคงต้องมีอยู่
เมื่อถามว่าคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์ยังเป็นหนึ่งในใจของคนกทม.อีกหรือไม่ รองหัวหน้าพรรคกล่าวว่า คนกรุงจะพิจารณาเองว่าเราเหมาะสมหรือไม่ แต่ประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองคู่บ้านคู่เมืองมานาน และเป็นพรรคของคนทุกคน ไม่ได้เป็นพรรคที่จะมีใครมาเป็นเจ้าของ จะเห็นว่ามีการสลับคนมาเป็นผู้นำตลอด ฉะนั้นคนกทม.ก็มอบความไว้วางใจ เราทำงานในกทม.มาอย่างต่อเนื่องบางครั้งก็มอบให้คนอื่นบ้างก็เป็นเรื่องปกติ แต่ก็คงไม่มีใครแพ้ หรือชนะตลอดเวลา
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และรองเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงความสัมพันธุ์ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล หลังนายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ออกมาระบุว่าจากปัญหาต่างจะทำให้พรรคร่วมรัฐบาลเว้นระยะห่างระหว่างกันว่า ความสัมพันธุ์ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลยังดีอยู่เหมือนเดิม การทำงานต่างๆยังคงร่วมกันแก้ปัญหาด้วยดีโดยเฉพาะเรื่องการแก้ปัญหาโควิดที่กำลังระบาดในวันนี้ ไม่ได้มีความแตกแยกใดๆเกิดขึ้น
เมื่อถามว่า นายชัยธวัช ออกมาตั้งข้อสังเกตเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย และพรรชาติไทยพัฒนา เว้นระยะห่าง นายชัยวุฒิ กล่าวว่า เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อาจมีความเห็นไม่ตรงกันนั้นเป็นเรื่องความเห็นของพรรคการเมืองที่แต่ละพรรคจะมี ขนาดพรรคร่วมฝ่ายค้านเองก็มีความเห็นที่ไม่ตรงกันในเรื่องนี้ ซึ่งประเด็นนี้ไม่เกี่ยวกับการร่วมรัฐบาล เพราะนายกฯบอกแล้วว่าเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นเรื่องของสภาที่จะไปดำเนินการ เชื่อว่าจะหาข้อยุติกันได้ และยืนยันว่าพรรคร่วมรัฐบาลยังทำงานร่วมกันเหนียวแน่นเช่นเดิม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี