มิติใหม่ศาลพิจารณาคดีเเพ่งทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่น โฆษกศาลฯเผย ศาลออกประกาศเเนวทางหลักเกณฑ์การพิจารณาคดีแพ่งทางอิเล็กทรอนิกส์ ช่วงโควิด-19 ฉ.3 หลีกเลี่ยงการเดินทาง ลดความเสี่ยงเเพร่เชื้อ
เมื่อวันที่ 27 เม.ย. นายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม เปิดเผยว่าในสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด 19ปัจจุบัน ทำให้ประชาชนมีข้อจำกัดในการเดินทางมาศาล โดยเฉพาะผู้ที่มีคดีอาจเกิดความกังวลว่าศาลจะเลื่อนคดีออกไปหรือไม่ หรือถึงแม้ไม่เลื่อนคดี การเดินทางไปศาลก็เป็นความเสี่ยงที่จะสัมผัสเชื้อ ศาลยุติธรรมคำนึงถึงความปลอดภัยและข้อกังวลของประชาชนดังกล่าว จึงนำวิธีการดำเนินคดีทางอิเล็กทรอนิกส์หรือทางออนไลน์มาอำนวยความสะดวกให้ประชาชน โดยได้ออกประกาศสำนักงานศาลยุติธรรม เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขเกี่ยวกับการใช้วิธีพิจารณาคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 รวม 3 ฉบับ
โดยสรุปสาระสำคัญของประกาศทั้ง 3 ฉบับ คือ ให้คู่ความสามารถร้องขอให้ศาลไต่สวนคดีหรือสืบพยานคดีแพ่งทางออนไลน์ โดยที่คู่ความหรือพยานไม่ต้องเดินทางไปที่ศาล แต่จะดำเนินการผ่านแอปพลิเคชั่นสื่อสารหรือประชุมออนไลน์ต่างๆ ที่ประชาชนสามารถเข้าระบบเองได้ไม่ยาก และไม่มีค่าใช้จ่ายในการใช้ระบบ เมื่อศาลพิจารณาคดีเสร็จจะส่งคำสั่งศาลให้คู่ความทางทราบผ่านระบบออนไลน์ ทำให้ประชาชนไม่ต้องเดินทางไปศาลแม้แต่ครั้งเดียว โดยคดีที่เปิดให้ใช้วิธีไต่สวนหรือสืบพยานทางออนไลน์ตามประกาศดังกล่าว ได้แก่ คดีผู้บริโภค คดีมโนสาเร่ คดีไม่มีข้อยุ่งยากที่จำเลยไม่ต่อสู้คดี รวมถึงการไต่สวนคำร้องต่างๆ ในคดีแพ่ง เช่น คำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก หรือคำร้องขอรับรองบุตร เป็นต้น แต่ไม่ใช้กับการดำเนินคดีอาญาและไม่ใช้กับกรณีที่คู่ความหรือพยานมีถิ่นที่อยู่ในต่างประเทศ
ทั้งนี้ โจทก์หรือผู้ร้องที่ต้องการใช้วิธีพิจารณาคดีทางออนไลน์อาจร้องขอต่อศาล ขณะที่ยื่นคำฟ้องหรือคำร้อง โดยต้องระบุสถานที่และแอปพลิเคชั่นที่จะใช้มาให้ศาลทราบล่วงหน้า จำเลยก็ขอใช้วิธีพิจารณาคดีทางออนไลน์เช่นเดียวกัน
โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวต่อว่า เมื่อถึงวันนัดพิจารณาคดีหรือนัดไต่สวนคำร้องตามที่นัดหมายกันไว้ว่าจะใช้ระบบออนไลน์ ก่อนเริ่มพิจารณาคดีต้องมีขั้นตอนการแสดงตนของผู้ใช้ระบบ เจ้าหน้าที่ศาลจะตรวจสอบบุคคลที่ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ว่าตรงกับคู่ความหรือพยานในคดีหรือไม่โดยให้บุคคลดังกล่าวแสดงบัตรประจำตัวประชาชนให้ปรากฎทางจอภาพของระบบ แล้วให้เจ้าหน้าที่ศาลบันทึกภาพใบหน้าบุคคลนั้นพร้อมกับบัตรประจำตัวประชาชนเก็บไว้เป็นหลักฐาน เพื่อให้มั่นว่าไม่มีการแอบอ้างสวมรอยมาดำเนินการแทนกัน
โดยวิธีการไต่สวนหรือสืบพยานบุคคลที่อยู่นอกศาลทางระบบออนไลน์เป็นการให้พยานเบิกความผ่านทางจอภาพผ่านแอปพลิเคชั่น โดยเจ้าหน้าที่ศาลจะตรวจสอบบัตรประจำตัวประชาชนของพยานก่อนที่จะให้เบิกความต่อหน้าศาลที่นั่งพิจารณาในห้องพิจารณา ส่วนการส่งเอกสารเป็นพยานหลักฐานสามารถส่งทางระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ (ระบบ e-Filingหรือระบบ CIOS แล้วแต่กรณี) แต่ต้องแสดงต้นฉบับเอกสารผ่านจอภาพเพื่อให้ศาลตรวจสอบความถูกต้องด้วย หรือถ้าศาลเห็นว่าจำเป็นต้องใช้เอกสารต้นฉบับก็อาจกำหนดให้โจทก์หรือผู้ร้องนำมาส่งต่อศาลภายในเวลาที่ศาลเห็นสมควร
โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวตอนท้ายด้วยว่า ศาลยุติธรรมได้นำวิธีการฟ้องคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e Filing มาให้บริการประชาชนในการยื่นฟ้องคดีแพ่งทางออนไลน์ได้โดยไม่ต้องเดินทางมายื่นฟ้องศาลมาระยะหนึ่งแล้ว ปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากทนายความเป็นอย่างดี ในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกนำวิธีการทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่นมาใช้ในขั้นตอนการพิจารณาคดี ทำให้ประชาชนสามารถดำเนินคดีทางออนไลน์ได้ครบวงจร ตั้งแต่การยื่นฟ้อง การพิจารณาคดีสืบพยาน และการรับคำสั่งศาล สามารถดำเนินการทางออนไลน์ได้ตั้งแต่ต้นจบจบกระบวนการ ถือเป็นมาตรการที่ศาลยุติธรรมนำมาอำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่มีอรรถคดี โดยคำนึงถึงความปลอดภัยด้านสุขภาพและยังคงมาตรฐานการอำนวยความยุติธรรม เพื่อให้กระบวนการศาลสามารถดำเนินอย่างต่อเนื่องแม้ในภาวะวิกฤตที่มีอุปสรรคหลายประการ โดยสามารถอ่านประกาศหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขเกี่ยวกับการใช้วิธีพิจารณาคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ฉบับที่ 3 เต็มตามลิงค์ https://jla.coj.go.th/th/content/category/detail/id/1602/iid/242417
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี