วันเสาร์ ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2568
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ นอกจากจะทรงเป็นมหาปิยะกษัตริย์ที่ทำนุบำรุงบ้านเมืองสยามให้เจริญรุดหน้า อันเป็นรากฐานแห่งอารยะประเทศ ทั้งการปกครอง การบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะทั้งในและนอกประเทศอันปรากฏแก่สายตาปวงประชามิรู้ลืมแล้วนั้นภารกิจอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้พสกนิกรของท่านรักและเคารพในพระองค์เป็นล้นพ้น นั่นคือการที่พระองค์ทรงใช้เวลา “เสด็จประพาสต้น”เสด็จท่องเที่ยวเป็นส่วนพระองค์กับข้าราชบริพารที่ใกล้ชิด
เริ่มด้วยเหตุที่ทรงไม่ค่อยสบายพระวรกาย จากการทรงงานตรากตรำพระราชกิจมาก จนไม่มีเวลาพัก พระองค์ทรงมีพระราชกังวล และบรรทมไม่หลับ เสวยไม่ได้หมอหลวงจึงลงความเห็นว่า ต้องเสด็จประพาสเที่ยวไปให้พ้นจากพระราชกิจบ้าง ทำให้พระองค์ต้องพักผ่อนพระราชอิริยาบถตามคำแนะนำของหมอหลวง
โดยการ “เสด็จประพาสต้น” ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ นี้ จะเป็นการ เสด็จประพาสหัวเมืองใหญ่ ในพระราชอาณาเขต พร้อมกับมีพระราชประสงค์จะเข้าไปสัมผัสวิถีชีวิตของราษฎรอย่างใกล้ชิด แบบไม่ถือพระองค์ เพื่อทรงสอดส่องความเป็นอยู่ด้วยสายพระเนตรของพระองค์เอง อย่างที่ไม่เคยมีกษัตริย์องค์ใดทรงทำมาก่อน
พระองค์ไม่ทรงโปรดฯให้มีหมายกำหนดการใดๆ หรือการจัดรับเสด็จอย่างเป็นทางการ แต่โปรดฯให้จัดการที่เสด็จให้เป็นไปโดยง่าย เสวยอย่างง่าย เพื่อสำราญพระราชอิริยาบถอย่างสามัญ ไม่ปรารถนาให้ราษฎรได้รู้ล่วงหน้า เพราะเกรงว่าพสกนิกรของพระองค์จะเดือดร้อน ต้องเสียเวลาในการเตรียมจัดแต่งปะรำ พลับพลา เตรียมแรงงานในการรับเสด็จ และจะมีแต่ความเกรงกลัวจนทำให้ไม่ได้เห็นสภาพความเป็นจริง
ไม่มีท้องตราสั่งหัวเมืองให้จัดทำที่ประทับแรม สุดแต่จะพอพระราชหฤทัยที่ใดบรรทม ที่ใดเสวยอะไรก็ให้เป็นไปตามพระราชประสงค์แบบง่ายๆ ไม่มีหมายกำหนดการล่วงหน้า บางคราวก็ทรงเรือเล็ก หรือเสด็จโดยสารรถไฟไปไม่แสดงพระองค์ให้ใครรู้จัก
บางคราวทรงปลอมแปลงพระองค์เป็นสามัญชนเข้าไปปะปนกับราษฎร เพื่อที่จะได้ประจักษ์ในความเป็นอยู่ของราษฎรอย่างใกล้ชิด ทำให้พระองค์ได้เห็นความจริงของความเป็นอยู่ และความรู้สึกภายในใจของพสกนิกรของพระองค์อย่างถ่องแท้ แต่บางครั้งก็มีราษฎรบางคนที่สังเกตได้เองนำความปลาบปลื้มเป็นล้นพ้น

ที่เรียกเสด็จประพาสต้นนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายว่า เกิดแต่เมื่อครั้งเสด็จคราวแรก เพราะมีพระราชประสงค์มิให้ใครได้รู้ ว่าเสด็จไปทรงเรือมาดเก๋ง ๔ แจวลำหนึ่งเรือนั้นไม่พอบรรทุกเครื่องครัว จึงทรงซื้อเรือมาดประทุน ๔ แจว ที่แม่น้ำอ้อม ที่แขวงราชบุรี และโปรดฯ ให้เจ้าหมื่นเสมอใจราช (อ้น) เป็นผู้คุมเครื่องครัว ทรงพระราชดำรัส เรือลำนี้ว่า “เรือตาอ้น” เรียกเร็วๆ เสียงจะกลายเป็น “เรือต้น” เหมือนบทเห่ซึ่งกล่าวว่า“พระเสด็จโดยแดนชล ทรงมีเรือต้นงามเฉิดฉาย”ซึ่งฟังดูไพเราะ แต่เรือประทุนลำนั้นใช้การได้อยู่ไม่มาก จึงเปลี่ยนมาเป็นเรือมาด ๔ แจว กับอีกลำหนึ่ง และโปรดฯ ให้เอาเรือต้นมาใช้เพื่อเป็นเรือพระที่นั่ง โดยมีพระราชประสงค์จะมิให้ผู้ใดทราบว่า เสด็จไปเป็นสำคัญและเรียกการประพาสเช่นนี้ว่า “ประพาสต้น”ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
พระองค์ได้เสด็จประพาสต้น ๒ ครั้ง ครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๗ เป็นการเสด็จทางชลมารค และทางรถไฟเป็นหลักมีจุดเริ่มต้นจากพระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๗ ผ่านจังหวัดปทุมธานี, นนทบุรี ราชบุรี, สมุทรสงคราม, เพชรบุรี, สมุทรสาคร,นครปฐม, สุพรรณบุรี, อ่างทอง, กลับสู่พระราชวังบางปะอิน แล้วเสด็จโดยทางรถไฟกลับสู่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๗ ใช้เวลาทั้งหมด ๒๕ วัน
และถัดมาอีก ๒ ปี ในปี พ.ศ.๒๔๔๙ ก็มีการเสด็จอีกครั้งหนึ่ง เป็นการเสด็จทางชลมารคเป็นหลัก มีจุดเริ่มต้นจากพระราชวังดุสิต กรุงเทพมหานคร ในวันที่ ๒๗ กรกฎาคมร.ศ. ๑๒๕ (พ.ศ. ๒๔๔๙) ผ่านจังหวัดนนทบุรี,ปทุมธานี, พระนครศรีอยุธยา, สระบุรี, อ่างทอง,สิงห์บุรี, ชัยนาท, อุทัยธานี, นครสวรรค์ และกำแพงเพชร ใช้เวลาทั้งหมด ๓๔ วัน
การเสด็จประพาสต้นของพระองค์ก่อเกิดคุณประโยชน์นานัปการแก่ปวงราษฎรทำให้ทรงทราบและแลเห็นความเป็นอยู่ สารทุกข์สุกดิบและความเป็นไปของราษฎรอย่างละเอียด ด้วยสายพระเนตรของพระองค์เอง ตลอดจนความดีหรือไม่ดีของข้าราชการประจำหัวเมืองนั้นๆ อันจะนำมาปรับปรุงแก้ไขเพื่อประโยชน์สุขของปวงราษฎร์เป็นที่ตั้ง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เป็นพระมหากษัตริย์ที่ได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศชาติอย่างมากมาย ด้วยพระปรีชาสามารถอันยากยิ่งที่จะมีผู้ใดเสมอเหมือน พระองค์ทรงสอดส่องดูแลทุกข์สุขของปวงประชาด้วยความห่วงใยอยู่ตลอดเวลา แม้ในยามที่ต้องทรงพักผ่อนเพื่อรักษาพระวรกาย
พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ทั้งในการปกครองบ้านเมือง และพระราชทานความร่มเย็นเป็นสุขแก่ประชาชนตลอดการครองราชย์ ๔๒ ปี ทำให้ประชาชนชาวไทยพร้อมใจกันถวายพระราชสมัญญานามว่า“พระปิยมหาราช” ซึ่งแปลความหมายว่าพระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี