ประเทศไทยมีการแสดงพื้นบ้านมากมายสร้างความบันเทิง สนุกสนาน ผ่อนคลาย ให้กับคนในท้องถิ่น สื่อถึงภูมิปัญญาและสุนทรียะทางอารมณ์ หลายครั้งเมื่อเราขยับเข้าไปใกล้ ซึมซับด้วยสายตาตัวเองแล้ว จะสัมผัสได้ถึงความเป็นอัตลักษณ์ของท้องถิ่นนั้นโดยไม่ต้องมีใครมาเอื้อนเอ่ยอธิบาย
สัปดาห์นี้ผู้เขียนอยากเล่าถึงศิลปะการแสดงพื้นเมืองหนึ่งของภาคใต้ที่ถือเป็นอัตลักษณ์อันทรงพลัง หากแต่แฝงไว้ด้วยความงดงามและอ่อนช้อย เป็นรากเหง้าแห่งศิลปวัฒนธรรมที่อยู่คู่คนใต้มาช้านาน จะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจาก“มโนห์รา” หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “โนรา” นั่นเอง
“มโนห์รา” หรือ “โนรา” มีรากศัพท์ที่มาจากคำว่า “นระ” เป็นภาษาบาลี- สันสกฤต แปลว่ามนุษย์ เป็นคำที่เกิดขึ้นมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา จากการนำเอาเรื่อง “พระสุธน-มโนราห์” มาแสดงเป็น
ละครชาตรี
นักโบราณคดีไทยได้คาดการณ์ประวัติความเป็นมาของมโนห์ราว่า การร่ายรำประเภทนี้ ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะการแสดงของประเทศอินเดียโบราณที่เรียกว่า “ยาตรา” หรือ “ชาตรา” ที่เข้ามาทางแหลมมลายูสมัยอาณาจักรศรีวิชัยสังเกตได้จากเครื่องดนตรีประกอบ 5 ชนิดที่เรียกว่า “เบญจสังคีต” ได้แก่ โหม่ง ฉิ่ง ทับ กลอง และปี่ใน รวมทั้งท่าร่ายรำอันมีความละม้ายคล้ายคลึงกับ ท่าร่ายรำของ อินเดีย เชื่อกันว่ามโนห์รา เกิดขึ้นครั้งแรกที่หัวเมืองพัทลุง ก่อนที่จะแพร่หลายไปยังหัวเมืองต่างๆ ในภาคใต้
มีเรื่องขานสืบต่อกันมาถึงต้นกำเนิดของการร่ายรำมโนห์รานี้ว่า “มโนราห์” ถือกำเนิดขึ้นในราชสำนักของพัทลุง โดยเจ้าเมืองที่มีชื่อว่า “พระยาสายฟ้าฟาด”
พระยาสายฟ้าฟาด มีลูกสาวนามว่า “ศรีมาลา” เธอมีความสามารถในการร่ายรำที่สวยงาม อ่อนช้อย หากแต่วันหนึ่งเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้น จู่ๆ ศรีมาลาก็ตั้งครรภ์ทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงานหรือข้องแวะกับชายใด ทำให้พระยาสายฟ้าฟาดโกรธเป็นอันมาก จึงสั่งให้นำนางศรีมาลาไปลอยแพในทะเลสาบสงขลา
จนกระทั่งแพได้ไปติดอยู่ที่เกาะใหญ่ วันเวลาผ่านไปนางศรีมาลาก็คลอดบุตรชายที่อุ้มท้องมาอย่างปริศนานั้น และตั้งชื่อว่า “เทพสิงหล”
นางศรีมาลาได้สอนให้เทพสิงหลหัดร่ายรำตามความชื่นชอบ และความถนัดของผู้เป็นแม่ ซึ่งเทพสิงหลก็เรียนรู้ และถ่ายทอดออกมาเป็นการแสดงที่งดงาม ท่วงท่าร่ายรำนั้นอ่อนช้อย ตราตรึงทุกสายตาที่ได้ชม จนเป็นที่กล่าวขาน ลือเลื่องขจรไกล จนข่าวนี้ไปถึงหูพระยาสายฟ้าฟาด ซึ่งตอนนั้น ยังไม่รู้ว่าเทพสิงหลเป็นหลานแท้ๆ ของตน
พระยาสายฟ้าฟาดได้สั่งคนไปเชิญเทพสิงหลให้มารำต่อหน้า เมื่อมีคนติดต่อนางศรีมาลาจึงบอกไปว่า มโนห์ราคณะนี้จะไปรำให้ดูก็ได้ แต่ต้องปูผ้าขาวรองทางเดินตั้งแต่ลงจากเรือ ไปจนถึงลานแสดงที่ตำหนัก ซึ่งเมื่อพระยาสายฟ้าฟาก็ตอบตกลงในเงื่อนไข ด้วยความที่อยากชมการร่ายรำนั้นมาก
จนกระทั่งเมื่อพระยาสายฟ้าฟาดได้ดูการแสดงจนจบ ก็ชื่นชมในความสามารถอันน่าทึ่งสมคำร่ำลือ จึงถอดเครื่องทรงที่ทรงอยู่ให้แก่เทพสิงหล แล้วกล่าวว่า “เครื่องแต่งกายกษัตริย์ชุดนี้ขอมอบให้เป็นเครื่องแต่งกายของโนรานับแต่นี้เป็นต้นไป”
จากนั้นเทพสิงหลจึงเฉลยว่า ตนคือหลานแท้ๆ ของพระยาสายฟ้าฟาด และเมื่อพระยาสายฟ้าฟาดรู้ความจริง ก็ยังความประหลาดใจและดีใจ จึงยอมรับโนราเข้ามาอยู่ราชสำนัก รวมทั้งให้สิทธิแต่งกายเหมือนกษัตริย์ทุกประการนับแต่นั้น
ความพิเศษของโนราอยู่ที่เครื่องแต่งกายที่เป็นแบบชุดละครทรงเครื่องมีเครื่องประดับศีรษะ เครื่องลูกปัดเป็นเสื้อคลุม มีเครื่องประดับตกแต่งตามร่างกายข้อมือและข้อเท้า ทั้งหมด 14 ชิ้น แต่ละชิ้นเต็มไปด้วยศิลปะที่ประณีตงดงาม ได้แก่ เทริด, เครื่องรูปปัด, ปีกนกแอ่น,ซับทรวง หรือ ทับทรวง หรือ ตาบ, ปีก หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าหาง หรือ หางหงส์, ผ้านุ่ง, หน้าเพลา, ผ้าห้อย, หน้าผ้า, กำไลต้นแขนและปลายแขน, กำไล, เล็บ, หน้าพรานและ.หน้าทาสี
นอกจากนี้ ยังรวมถึงท่ารำของโนราที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ เป็นจุดเด่นสะกดสายตาผู้ชม โดยช่วงลำตัวต้องแอ่นอกอยู่เสมอ หลังแอ่น ลำตัวยื่นไปข้างหน้า วงหน้า หมายถึง ส่วนลำคอจนถึงศีรษะ
ต้องเชิดหน้า หรือแหงนขึ้นเล็กน้อยในขณะรำการย่อตัว ทุกส่วนของลำตัวต้องย่อลงเล็กน้อย เข่าย่อ ก้นงอนเล็กน้อย ช่วงสะเอวต้องหัก ลักษณะการเดินรำ หากส่วนเท้าเคลื่อนไหว ช่วงลำตัวจะต้องนิ่ง ส่วนบนมือและวงหน้าจะไปตามลีลาท่ารำ
ท่ารำที่ถือว่าเป็นแม่ท่ามาแต่เดิมนั้นเรียกว่า ท่าสิบสอง ท่ากนก ท่าเครือวัลย์ ท่าฉากน้อย ท่าแมงมุมชักใย ท่าเขาควายและท่ารำบทครูสอนซึ่งเป็นท่าเบื้องต้นที่สอนให้รู้จักการแต่งกายมีอยู่ประมาณ ๘๓ ท่ารำ
มโนห์รา มีแม่บทท่ารำอย่างเดียวกับละครชาตรี บทร้องเป็นกลอนสด นักแสดงต้องอวดลีลาการร้องขับบทกลอนในลักษณะต่างๆ มีเสียงไพเราะดังชัดเจน จังหวะฮึกเหิม ท่วงทำนองกระฉับกระเฉง เร้าใจ เนื้อหาดี มีไหวพริบปฏิภาณในการสรรหาคำให้สัมผัสคล้องจองกันได้อย่างถูกต้องฉับไว เดิมนิยมใช้ผู้ชายล้วนแสดง แต่ปัจจุบันมีผู้หญิงเข้าไปแสดงด้วย
เมื่อเขียนมาถึงจุดนี้ ผู้เขียนรู้สึกทันทีถึงมนต์ขลังแห่งการร่ายรำจากจิตวิญญาณของชาวใต้อันหาไม่ได้จากการแสดงประเภทไหน จึงไม่แปลกใจเลยที่ปัจจุบันจะยังเห็นเยาวชนรุ่นใหม่ไม่น้อยที่สนใจค้นหาความรู้ และสานต่อการร่ายรำที่เต็มไปด้วยเสน่ห์อันมากล้นนี้อย่างมีความสุขและภาคภูมิใจเสมือนหนึ่งได้ถือครองสมบัติอันล้ำค่าจากบรรพบุรุษของพวกเขา รุ่นแล้วรุ่นเล่า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี