“คนกับป่า” เป็นหนึ่งในประเด็นที่มีความขัดแย้งตลอดมา ระหว่างฝ่ายรัฐที่มองว่าป่าจะอุดมสมบูรณ์ได้ต้องไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ นำไปสู่การจับกุมผู้ถูกกล่าวหาว่าบุกรุก กับฝ่ายชาวบ้านตลอดจนนักวิชาการและภาคประชาสังคมที่พยายามย้ำว่าปัจจุบันกระแสโลกได้เปลี่ยนไปแล้วและมีชุดความรู้ใหม่ๆ เกิดขึ้น ซึ่งพบว่าคนสามารถใช้ประโยชน์จากป่าพร้อมไปกับการอนุรักษ์ป่าได้หากมีการกำหนดกติกาบางอย่าง โดยเมื่อเร็วๆ นี้ มีการเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง“7 ปี ทวงคืนผืนป่า สู่ปีแห่งการเดินหน้าแก้ปัญหาที่ดิน” มีวิทยากรหลายท่านร่วมสะท้อนปัญหาและหาทางออก
สมชาติ รักษ์สองพลู ชาวกะเหรี่ยงบ้านกลาง จ.ลำปาง ยกตัวอย่าง นโยบายทวงคืนผืนป่า ที่ดำเนินการในยุครัฐบาลทหารคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือคนที่มีวิถีชีวิตอยู่กับป่า ซึ่งชาวบ้านนั้นดำรงชีวิตด้วยการทำเกษตรแบบดั้งเดิม รวมถึงการประกาศพื้นที่อนุรักษ์เพิ่มแล้วไปทำที่อยู่อาศัยและที่ทำกินของชาวบ้าน ก็เป็นอีกเรื่องที่ชาวบ้านได้รับผลกระทบอย่างมาก
“ใน จ.ลำปาง มีกรณีพี่แสงเดือน (แสงเดือนตินยอด) ไปปลูกยางพาราโดยนโยบายของนายกฯ ทักษิณ(ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีช่วงปี 2544-2549) แล้วถูกแจ้งข้อหาว่าบุกรุกป่า แต่ว่าท้ายที่สุดแล้วเราพิสูจน์กันแล้ว คุณแสงเดือนซึ่งอยู่ อ.งาว เราพิสูจน์กันแล้ว อุทยานแล้วก็มีคณะกรรมการจากพี-มูฟ (P-Move ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม) เข้าไปตรวจสอบแล้วไม่ได้บุกรุก แล้วก็มีหลักฐานในการใช้ประโยชน์อย่างชัดเจน แต่ท้ายที่สุดคุณแสงเดือน ตินยอด ถูกแจ้งข้อหาบุกรุกป่า” สมชาติ ระบุ
สมชาติ กล่าวต่อไปว่า กรณีข้างต้นนี้ชัดเจน แสงเดือนนั้นเป็นเพียงชาวบ้านฐานะยากจน ทำการเกษตรแบบกู้หนี้ยืมสินมาลงทุนปลูกยางพารา ซึ่งหลังพบชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบทำนองเดียวกันอีกหลายราย โดยเฉพาะชาวกะเหรี่ยงที่ดำรงชีวิตด้วยการทำไร่หมุนเวียน เนื่องจากทางอุทยานมองว่าไร่หมุนเวียนคือป่า เนื่องจากไร่ที่ทำในปีนี้แล้วปล่อยทิ้งไว้ 4-5 ปีพื้นที่นั้นก็จะคืนสภาพเหมือนกับเป็นป่า
โดยทางอุทยานใช้คำว่าขอคืน ซึ่งชาวบ้านรายใดที่ไม่มีอำนาจต่อรองก็ต้องคืน แต่หากเป็นชาวบ้านที่รวมกันเป็นเครือข่ายก็จะมีการต่อรองเพื่อขอพิสูจน์ว่าเป็นพื้นที่ทำประโยชน์แต่เดิมมานานแล้ว ดังนั้นข้อเสนอคือ “ให้มีการสำรวจรังวัดพื้นที่โดยเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐกับชาวบ้าน” เพื่อกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนว่าไร่หมุนเวียนของชาวบ้านกับป่าอะไรอยู่จุดไหน และทำบันทึกข้อตกลงร่วมกัน
เล่าฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล ผู้ประสานงานศูนย์กฎหมายสิทธิชุมชน กล่าวว่า การใช้อำนาจและวิธีการทางทหารเข้าไปจัดการประเด็นป่าไม้ ผลที่ได้ก็ไม่ได้ทำให้พื้นที่ป่าเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 40 ของพื้นที่ทั่วประเทศตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ กล่าวคือ ในปี 2556 มีพื้นที่ป่าอยู่ร้อยละ 31.57จากนั้นในปี 2560 มีพื้นที่ป่าอยู่ร้อยละ 31.58 แทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดเมื่อเทียบกับปัญหาที่ชาวบ้านได้รับ
นอกจากนี้ การจัดสรรงบประมาณก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงเท่าที่ควร อาทิ ในการจัดสรรงบประมาณประจำปีงบประมาณ 2564 กรมป่าไม้และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ซึ่งอยู่ภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พบว่า ทั้ง 2 กรม ได้งบประมาณรวมกันประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท ในจำนวนนี้ราวร้อยละ 60 เป็นงบบุคลากร รวมถึงงบด้านอนุรักษ์ป่า ในขณะที่งบประมาณสำหรับการแก้ไขปัญหาที่ดินถูกจัดสรรให้น้อยมาก ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติงานไม่สามารถดำเนินการได้
“การใช้วิธีการ เครื่องไม้เครื่องมือและทัศนคติเหล่านี้มันไม่ได้ทำให้สังคมไทยได้พื้นที่ป่าขึ้นมา ไม่ได้นำไปสู่อะไรเลย มันมีแต่จะสร้างความสูญเสีย ระบบเศรษฐกิจที่เราควรจะใช้พื้นที่ป่าให้เป็นประโยชน์ สร้างสรรค์และเป็นมิตรต่อระบบนิเวศ แต่ว่าเราก็ไม่ได้ใช้ แต่เรากลับใช้วิธีการว่า การที่ชุมชนเข้าไปใช้พื้นที่ป่าในรูปแบบใดก็
แล้วแต่เป็นความผิดและต้องทวงคืน เหล่านี้ถือว่าเป็นปัญหา” เล่าฟั้ง กล่าว
ผศ.ดร.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ อาจารย์ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ตั้งข้อสังเกตว่า ในขณะที่กระแสโลกมีการพูดถึงเรื่องสิทธิชุมชน สิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง แต่สำหรับประเทศไทยนั้นทั้งกฎหมายและวิธีคิดของผู้ใช้อำนาจด้านการอนุรักษ์ยังไม่เปลี่ยน และย้ำว่า “การมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการทรัพยากรป่าไม้นั้นเป็นเรื่องสำคัญ” การมีส่วนร่วมคือการตรวจสอบได้ ซึ่งที่ผ่านมาได้ถูกพิสูจน์แล้วในหลายพื้นที่และหลายประเทศ ว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าการให้รัฐเป็นผู้จัดการทรัพยากรเพียงฝ่ายเดียว
“เรามีความรู้ในการจัดการป่าเยอะแยะมากมาย แต่รัฐเลือกใช้ความรู้แบบนิเวศวิทยากระแสหลัก ซึ่งความรู้แบบนี้คือแยกมนุษย์ออกจากธรรมชาติ เมื่อเอามาจัดการป่ามันก็เลยมีลักษณะแยกคนออกจากป่า ผมคิดว่าความรู้การจัดการป่า สังคมเรามันไม่ได้อับจนถึงขั้นเลือกทางเดียวแบบที่รัฐกำลังทำอยู่ ผมเสนอให้หาความรู้อื่นๆ ซึ่งมันมีอยู่หลากหลาย ยอมรับการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ระหว่างคนกับป่า ป่าสมบูรณ์คนไม่ยากจนเราสามารถทำได้ ไม่ใช่จัดการแบบที่ผ่านมาป่าสมบูรณ์แต่คนยากจน” อาจารย์ไชยณรงค์ กล่าว
พรพนา ก๊วยเจริญ กลุ่มจับตาปัญหาที่ดิน เสนอแนะว่า ต้องมีกลไกค้นหาข้อมูล เช่น จำนวนพื้นที่ที่ถูกยึดมีเท่าใด หากรัฐบาลต้องการออกกฎหมายหรือนโยบายใหม่มารับรองการทำกินในพื้นที่ป่า เพื่อให้ไม่เสียโอกาสในการแก้ไขปัญหา และการพิจารณาจะทำอย่างไร จะใช้เกณฑ์ใดบอกว่าใครเป็นนายทุน หรือจะสืบสาวประวัติศาสตร์ของที่ดินอย่างไร ซึ่งกลไกนี้ต้องมีองค์ประกอบที่หลากหลาย ไม่ใช่เพียงหน่วยงานภาครัฐฝ่ายเดียว ข้อมูลต้องเปิดเผยต่อสาธารณะ รวมถึงในระหว่างพิสูจน์สิทธิ์ จะทำอย่างไรกับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบไปแล้ว
“ทำอย่างไรที่จะทำให้เห็นประเด็นปัญหา สางกลุ่มชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบและแนวทางที่จะแก้ไข แล้วต้องเอาพหุกฎหมายขึ้นมาแก้ คือชาวบ้านกลุ่มนี้ได้เสียสิทธิไปแล้ว กลับไปทำกินไม่ได้ แล้วยุคโควิดวิกฤติแบบนี้รัฐบาลควรมีนโยบายในเรื่องของการให้เขาได้กลับไปทำกินอย่างน้อยก็คือฟื้นฟูเศรษฐกิจ อันนี้ก็ควรเป็นอันหนึ่งซึ่งในฝ่ายนโยบาย ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งทาง สส. ก็คือสภาโดยตรงในขณะนี้” พรพนา กล่าว
ปิดท้ายด้วย สาทิตย์ วงศ์หนองเตย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดตรัง พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า นโยบายทวงคืนผืนป่า กล่าวว่า ในยุคก่อนหน้านโยบายทวงคืนผืนป่าโดย คสช. นโยบายที่ดินของรัฐบาลในอดีตค่อนข้างดำเนินมาด้วยดีแล้ว เช่น ในปี 2554 ที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล มีการวางนโยบาย “โฉนดชุมชน” รวมถึงเริ่มจัดตั้ง “ธนาคารที่ดิน” และยุคหลังจากนั้นนโยบายก็มีความใกล้เคียงกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อคำสั่ง คสช. ที่ 64/2557 เรื่องนโยบายทวงคืนผืนป่า ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จึงมีการออกคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 ขึ้นมาโดยเน้นให้จัดการกับนายทุน แต่ก็ยังพบปัญหาคือ นโยบายทวงคืนผืนป่ากำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรายงานความคืบหน้าต่อ คสช.ดังนั้นผู้ปฏิบัติงานจึงทำงานภายใต้ความกดดันเพราะในเวลานั้นทุกภาคส่วนต้องยอมรับอำนาจ คสช. ในฐานะรัฏฐาธิปัตย์แม้ว่าเจ้าหน้าที่เองก็ไม่เข้าใจความซับซ้อนของปัญหา ตลอดจนนโยบายของรัฐบาลก่อนๆ ที่พยายามแก้ไขปัญหาก็ตาม
สาทิตย์ เสนอแนะทางแก้ปัญหาไว้ 2 ส่วน คือ 1.กรณีที่เป็นคดีความไปแล้ว ในอดีตเคยมีกรณีที่อัยการใช้อำนาจหน้าที่มีอยู่ตามกฎหมาย สั่งไม่ฟ้องหากเรื่องนั้น
ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ แต่เรื่องนี้จะทำได้หากมีการสั่งการทางนโยบายซึ่งรัฐบาลมองเห็นปัญหา เช่น กำหนดให้รวบรวมข้อมูลของแต่ละคดีว่าคดีใดไปถึงขั้นตอนไหนบ้าง หากเป็นคดีที่ยังไปไม่ถึงอัยการ หรือไปถึงอัยการแล้วแต่ยังไม่ถึงศาล และเป็นคดีของคนจน คดีที่อยู่ในระหว่างโต้แย้งเรื่องสิทธิ หรืออยู่ในกระบวนการแก้ไขปัญหา จะสามารถทำได้หรือไม่โดยให้อัยการสั่งไม่ฟ้อง
กับ 2.นโยบายที่รัฐบาลดำเนินการผ่านกลไกคณะอนุกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) หรือนโยบายแก้ปัญหาที่ดินทำกินในที่สาธารณะต่างๆ เรื่องนี้ต้องดำเนินการต่อไป หากพบว่าใครเป็นคนจนไม่มีที่ไปจริงนโยบายเหล่านี้ต้องถูกนำไปใช้ ให้คนยากจนดังกล่าวหลุดออกจากนโยบายทวงคืนผืนป่า อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่าในการจัดสรรงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ 2565
พบว่า งบที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของประชาชนนั้นถูกตัดไปเป็นจำนวนมาก รวมถึงสำนักงาน คทช. ก็ไม่มีงบประมาณที่จะไปดำเนินการด้วย แต่นโยบาย คทช. เมื่อมีมาแล้วก็ต้องดำเนินต่อไปควบคู่กับการแก้ไขปัญหาคดีความที่เกิดจากนโยบายทวงคืนผืนป่า เพราะไม่มีทางเลือกอื่น เพราะหากปล่อยไปเช่นนี้ ความสลับซับซ้อนเรื่องที่ดินจะกลายเป็นชนวนความขัดแย้งที่รุนแรงได้ง่ายที่สุดซึ่งไม่อยากเห็นสิ่งนั้นเกิดขึ้น
“ปัญหานี้มันใหญ่เกินกว่าที่จะให้ใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมาตัดสินใจ มันเป็นปัญหาระดับชาติที่รัฐบาลต้องทำร่วมกับทุกภาคส่วน” สาทิตย์ กล่าวในท้ายที่สุด
“โฉนดชุมชน” เป็นนโยบายรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์สมัยที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี (ปี 2552-2554) เป็นการนำที่ดินที่มีลักษณะเป็นป่าเสื่อมโทรมมาจัดสรรให้ประชาชนเป็นที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน โดยถือครองร่วมในลักษณะชุมชน มีคณะกรรมการชุมชนเป็นผู้ดูแล ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของปัจเจกบุคคล เพื่อป้องกันไม่ให้นำที่ดินไปขายให้กับบุคคลภายนอกชุมชน แต่สามารถส่งมอบเป็นมรดกให้กับทายาทตามกฎหมายได้ ส่วน “ธนาคารที่ดิน” นั้นเกิดขึ้นมาในฐานะสถาบันการเงินที่สนับสนุนการจัดหาที่ดินให้กับผู้มีรายได้น้อย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี