ปีนี้แม้ฝนจะตกเร็วตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 ที่ผ่านมา เหมือนธรรมชาติจะหลอกให้เกษตรกรเริ่มปักดำทำนาปี พอถึงเดือนพฤษภาคม ต่อเนื่องมาถึงต้นเดือนมิถุนายน 2564 ฝนกลับทิ้งช่วง นาข้าวหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะลุ่มเจ้าพระยาอู่ข้าวอู่น้ำของไทย
ท่าน สส.นพพล เหลืองทองนาราจากเมือง 2 แควพิษณุโลก พรรคเพื่อไทย ถือโอกาสอัดรัฐบาล โดยเฉพาะท่านรองนายกฯ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) กับคำถามที่ว่า “..โกหกหรือไม่ที่บอกว่า ประเทศไทยไม่มีภัยแล้ง เพราะในความเป็นจริงเกษตรกรประสบปัญหาภัยแล้งมาอย่างต่อเนื่องล่าสุดข้าวกำลังยืนต้นตายหมด เพราะขาดน้ำ..”
จริงๆท่าน สส.นพพล อาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อน ที่ท่านรองนายกฯพูดถึงนั้น หมายถึงฤดูแล้งปี 2563/64 คือ ตั้งแต่1 พ.ย.2563-30 เม.ย.2564 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ไม่มีการประกาศให้เป็นเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) เกือบตลอดฤดู จะมาประกาศก็ช่วงปลายฤดูแล้ง แต่ก็เป็นพื้นที่แคบๆ ในเขต อ.เถิน จ.ลำปาง และอ.เกาะสีชัง จ.ชลบุรี เท่านั้น อย่างไรก็ตามประกาศไม่นานฝนก็ตก
สาเหตุสำคัญที่ไม่ได้มีการประกาศเขตประสบภัยแล้ง แม้ปริมาณต้นทุนในปีที่ผ่านมาจะน้อย เพียง 19,868 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) หรือ 42% ของปริมาณการกักเก็กเท่านั้น เนื่องจากกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ(กอนช.) ที่มีท่านรองฯประวิตร เป็นผู้อำนวยการได้มีการวางแผนรับมือเชิงป้องกัน พร้อมสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุน
ด้วยเหตุผลที่กล่าวว่าประกอบกับปีนี้ฝนตกเร็วกว่าปกติ ฤดูแล้งปี 2563/64 ประเทศไทยจึงพ้นวิกฤติภัยแล้ง ข้าวนาปรังที่เกษตรกรซึ่งมีบางพื้นที่ปลูกเกินเป้าหมาย ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เลย
สำหรับปัญหาขาดแคลนน้ำในปัจจุบัน เป็นปัญหามาจากภัยธรรมชาติ ที่เรียกว่า “ภาวะฝนทิ้งช่วง” ประกอบกับปริมาณน้ำต้นทุนในเขื่อนยังมีน้อยอยู่ ส่งผลให้เกษตรกรที่ทำการเพาะปลูกพืช โดยเฉพาะข้าวนาปีในฤดูฝนปี 2564 ได้รับผลกระทบการขาดแคลนน้ำ
ในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า รองนายกฯประวิตร ได้มอบหมายให้ กรมชลประทาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนเพื่อบรรเทาภาวะขาดแคลนน้ำ พร้อมทั้งติดต้ั้งเครื่องสูบน้ำช่วยสูบช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำแล้ว และได้สั่งการให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.) เร่งบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางช่วยเหลือพื้นที่ที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นโดยเฉพาะข้าวนาปีที่เกษตรกรปลูกในขณะนี้
ท่ามกลางความโชคร้ายที่เกิดภาวะฝนทิ้งช่วง และปริมาณน้ำต้นทุนในเขื่อนมีน้อยอยู่เช่นนี้ ก็มีความโชคดีจากธรรมชาติเกิดขึ้นเหมือนกัน เมื่อ “โคะงุมะ” พายุโซนร้อน ลูกแรกของปีนี้ ซึ่งต่อมาได้อ่อนกำลังลงเป็น ดีเปรสชั่น และหย่อมความกดอากาศต่ำตามลำดับ ได้พัดผ่านประเทศเวียดนาม ลาวตอนบนและบริเวณภาคเหนือของประเทศไทย ทำให้มีฝนตกหนักในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะบริเวณลุ่มน้ำน่าน ซึ่งโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่คือ เขื่อนสิริกิติ์ ตั้งอยู่
กอนช. คาดการณ์ว่า “โคะงุมะ” จะทำให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนสิริกิติ์ไม่น้อยกว่า 277 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งจะช่วยให้สถานการณ์ขาดแคลนน้ำในจังหวัดอุตรดิตถ์ พิษณุโลก (บ้านของท่านสส. นพพล) พิจิตร นครสวรรค์ และจังหวัดในลุ่มเจ้าพระยาคลี่คลายลง สามารถบรรเทาปัญหาผลผลิตทางการเกษตรได้รับความเสียหายได้จากภาวะฝนทิ้งช่วงได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามการฝ่าวิกฤติภาวะภัยแล้ง และภาวะฝนทิ้งช่วง แม้จะมีโชคดีแต่ถ้าไม่มีการวางแผน และไม่มีเครื่องมือในการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะเขื่อนกักเก็บน้ำขนาดใหญ่แล้ว ก็ยากที่จะฝ่าวิกฤติได้
รัฐศักดิ์ พลสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี