กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เผยข้อมูลการเฝ้าระวังผู้ป่วยติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้า หรือ อินเดีย ยอดสะสมเพิ่มเป็น 666 รายแล้ว ด้าน 'หมอยง'ห่วงภายใน 4 5 เดือนนี้อาจจะพบในไทยมากขึ้น แนะปรับแผนชะลอโรคระบาดโดยเร็ว หลังพบว่าทำประสิทธิภาพวัคซีนแทบทุกประเทศลดลง พร้อมเผยจุฬาฯกำลังศึกษาวัคซีนเข็ม 3 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ได้ 10 เท่า คาดภายใน 1-2เดือนน่าจะรู้ผล
22 มิ.ย.64 ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า จากข้อมูลการเฝ้าระวังตั้งแต่เดือนเม.ย.64 ถึงวันที่ 20 มิ.ย.64 พบสายพันธุ์อัลฟา (อังกฤษ) จำนวน 5,641 ตัวอย่าง สายพันธุ์เดลตา (อินเดีย) จำนวน 666 ตัวอย่าง ซึ่งสัปดาห์นี้พบเพิ่มขึ้น 170 คน และสายพันธุ์เบตา (แอฟริกาใต้) จำนวน 38 ตัวอย่าง เพิ่มขึ้น 7 คน ทั้งนี้ สายพันธุ์เดลตา (อินเดีย) พบเพิ่มในเขตสุขภาพที่ 4 ( นนทบุรี ปทุมธานี อยุธยา สระบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง นครนายก) จากเดิมจำนวน 40 คน เพิ่มขึ้น 65 คน รวม 105 คน ส่วนเขตสุขภาพ 13 กรุงเทพฯ จากเดิม 404 คน พบเพิ่มอีก 89 คน รวมเป็น 493 คน
นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า สำหรับสายพันธุ์เบตา (แอฟริกาใต้) ขณะนี้ยังพบในภาคใต้ จำนวน 38 คน โดยพบในเขตสุขภาพที่ 11 จำนวน 2 คน และเขตสุขภาพที่ 12 จากเดิม 28 คน พบเพิ่มอีก 5 คน รวม 33 คน ทั้งนี้จากการติดตามเด็กนักเรียนใน จ.ยะลา เบื้องต้นพบมีทั้งสายพันธุ์อัลฟา และสายพันธุ์เบตา ซึ่งขณะนี้หน่วยงานสาธารณสุขกำลังติดตามหาต้นตอว่าติดเชื้อมาจากที่ไหน และกำลังเร่งติดตามว่าเชื้อมีการกระจายไปจังหวัดอื่นๆ หรือไม่ อย่างไรก็ตามสายพันธุ์เบตา ที่พบในภาคใต้ แพร่ระบาดไม่เร็ว จึงไม่น่าวิตกกังวล ถ้าคุมโรคได้เร็วอาจจบลงในพื้นที่ๆ พบผู้ป่วย
ด้าน ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ว่า ขณะนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ของไวรัสโควิดทั่วโลก เดิมเป็นสายพันธุ์ดั้งเดิมที่มาจากอู่ฮั่น อยู่ประมาณ 4-5 เดือน ต่อมาแพร่ระบาดเป็นสายพันธุ์จีที่แพร่เร็วขึ้น และครองทั่วโลก การแพร่ที่เร็วขึ้นแต่ไม่ได้ทำให้ความรุนแรงของไวรัสมากขึ้น ต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ เป็นสายพันธุ์อังกฤษ หรืออัลฟา ที่เริ่มพบ ต.ค.ปี 63 และระบาดเต็มที่ใน ก.พ.และมี.ค.ปี 64 และจากการศึกษาก็พบว่า ความรุนแรงของสายพันธุ์อัลฟา แพร่เร็วถึง 1.7 เท่า และขณะนี้ก็เริ่มพบสายพันธุ์เดลตา หรืออินเดีย โดยของไทยเริ่มพบในแคมป์คนงานก่อสร้างที่หลักสี่ และจากการศึกษาพบว่า สายพันธุ์เดลตา แพร่เร็วกว่าสายพันธุ์อัลฟา ถึง 1.4 เท่า
ศ.นพ.ยง กล่าวว่า ขณะนี้ที่ประเทศอังกฤษสายพันธุ์เดลตา กำลังเข้ามาแพร่ระบาดและแทนที่สายพันธุ์อัลฟาหรือสายพันธุ์อังกฤษดั้งเดิม แต่ความรุนแรงของสายพันธุ์เดลตายังไม่รุนแรง ขณะที่ประสิทธิภาพของวัคซีนทุกบริษัท ต้องยอมรับว่าเหมือนกันหมด ทั่วโลกกำลังเผชิญกลับประสิทธิภาพวัคซีนที่ลดลง เพราะการพัฒนาวัคซีนมีรากฐานมาจากสายพันธุ์เดิมอู่ฮั่น เมื่อไวรัสมีการพัฒนาและกลายพันธุ์ ทำให้ต้องมีการพัฒนาวัคซีนเจเนอร์ชั่น 2 มาเพื่อรองรับสายพันธุ์ของไวรัสที่เปลี่ยนไป คาดว่าจะสามารถพัฒนาแล้วเสร็จในอีก 6 เดือนข้างหน้า
"ส่วนโอกาสที่สายพันธุ์เบตา(แอฟริกาใต้)จะมายึดครองโลกได้หรือไม่นั้น มีโอกาสน้อยเนื่องจากแม้เชื้อไวรัสหลบภูมิคุ้มกัน มีผลต่อประสิทธิภาพวัคซีน แต่อัตราความรุนแรงยังเท่าเดิม แต่ในส่วนสายพันธุ์เดลตา(อินเดีย) จากการศึกษาในสก๊อตแลนด์ พบว่าประสิทธิของวัคซีน ทั้งแอสตราฯ และไฟเซอร์ ลดลง 10 % จากเดิมประสิทธิภาพของไฟเซอร์ อยู่ที่ 90%" นพ.ยง กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อรับวัคซีนไฟเซอร์ครบ 2 เข็มในสายพันธุ์เดลตา พบว่าประสิทธิภาพเหลือ 79 % ขณะที่แอสตราฯ เมื่อรับครบ 2 เข็ม เจอสายพันธุ์เดลตา ประสิทธิภาพก็ลดลงเหลือ 60% จากเดิมที่ประสิทธิภาพวัคซีนอยู่ที่ 90% ซึ่งการป้องกันสายพันธุ์เดลตา(อินเดีย) ต้องใช้ภูมิต้านทานสูง ไม่ว่าจะเป็นแอสตราฯหรือไฟเซอร์ การรับวัคซีน 1 เข็มอาจไม่เพียงพอ ในการป้องกันโรคเพราะประสิทธิภาพในการป้องกันโรคลดลง 20-30% ดังนั้นในการรับมือกับสายพันธุ์เดลตา (อินเดีย) ต้องใช้การชะลอการระบาดให้มากที่สุด โดยสายพันธุ์นี้จะค่อยๆ พบในไทยเพิ่ม ขึ้นเรื่อยๆ ในอีก 4-5 เดือน ดังนั้นจึงต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย ช่วยกันทำให้การพบการแพร่ระบาดของสายพันธุ์นี้ เพิ่มขึ้นแค่ 1% หรือ2% เท่านั้น
ส่วนการรับวัคซีนในเข็มที่ 3 นั้น ศ.นพ.ยง กล่าวว่า จริงๆ ข้อมูลทั้งหมดยังไม่มี แต่หลักการของการให้วัคซีน ขอยกตัวอย่าง ไวรัสตับอักเสบบี ทำไมต้องให้ 3 เข็ม เพราะเข็มแรกๆ เป็นการให้ครั้งแรกในการป้องกันโรคก่อน ส่วนเข็ม 3 ต้องทิ้งช่วง ซึ่งทั่วไปเข็ม 3 จะกระตุ้นภูมิฯ ได้มากกว่า 10 เท่า อย่างไวรัสตับอักเสบบีใช้วัคซีนตัวเดียวกันก็กระตุ้นได้ 10 เท่า ดังนั้น ขณะนี้ศูนย์ฯที่จุฬาฯ กำลังเริ่มศึกษาอยู่ว่า การตัดสินใจให้เข็ม 3 อยู่ที่ 3 เดือนหรือ 6 เดือน ซึ่งเชื่อว่าภูมิฯจะสูงขึ้นเกิน 10 เท่า แม้จะได้วัคซีนตัวเดิม หรือเปลี่ยนเป็นแอสตร้าฯ ก็ได้ แต่สิ่งสำคัญต้องอยู่ที่ความปลอดภัย คาดว่า 1-2 เดือนน่าจะมีผลออกมา ขณะนี้จึงเป็นไปได้ว่าวัคซีนเข็มที่ 3 อาจฉีดได้ทั้งวัคซีนยี่ห้อเดิม และวัคซีนสลับยี่ห้อ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี