ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC) ซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุม 3 จังหวัดภาคตะวันออก ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง รัฐบาลได้มุ่งหวังที่จะพัฒนาเป็นสมาร์ทซิตี้หรือเมืองอัจฉริยะ ที่มีการเติบโตทั้งภาคธุรกิจภาคอุตสาหกรรม ภาคท่องเที่ยวและภาคเกษตรกรรมอย่างต่อเนื่องแต่การที่จะขับเคลื่อนให้ไปถึงเป้าหมายได้นั้น จำเป็นจะต้องมีสาธารณูปโภคพื้นฐานรองรับ โดยเฉพาะในเรืื่องของ “น้ำ” อย่างพอเพียง
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าแผนการพัฒนาแหล่งน้ำ และความพร้อมรับมือฤดูฝน 2564 ในพื้นที่ภาคตะวันออก
และ EEC
ได้ฟังรายงานจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว น่าจะสบายใจได้ว่าพื้นที่ EEC จะมีความมั่นคงในเรื่องน้ำ อาทิ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้รายงานถึงการดำเนินการตามมาตรการรับมือฤดูฝนในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาพรวม การจัดการน้ำสนับสนุนอีอีซี ทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของ EEC และความต้องการใช้น้ำในอนาคต กรมชลประทานได้รายงานถึงแนวทางการบริหารจัดการน้ำรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอีอีซีในอนาคต เป็นต้น
จากการศึกษาของ สทนช.พบว่า ในปี 2570 จะมีความต้องการใช้ 2,888 ล้าน ลบ.ม. และปี 2580 มีความต้องการใช้น้ำ 3,089 ล้าน ลบ.ม. จากปัจจุบันที่มีความต้องการใช้น้ำในทุกภาคส่วนรวมกันประมาณ 2,419 ล้าน ลบ.ม. ในขณะที่มีปริมาณน้ำต้นทุนทั้งสิ้น 2,539 ล้าน ลบ.ม.
“ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2561 – 2563 รัฐบาลได้เร่งรัดโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในภาคตะวันออกในทุกรูปแบบ เพื่อให้มีพื้นที่เก็บกักน้ำฝนให้มากที่สุด สามารถรองรับความต้องการใช้น้ำในพื้นที่ทั้งภาคประชาชน เศรษฐกิจ เกษตร อุตสาหกรรมได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในพื้นที่กลุ่มจังหวัด EEC มีโครงการแหล่งน้ำเกิดขึ้นแล้วถึง 2,872 โครงการ พื้นที่รับประโยชน์ 372,950 ไร่ ประชาชนได้รับประโยชน์ 136,751 ครัวเรือน ปริมาณน้ำเก็บกักเพิ่มขึ้นประมาณ 138 ล้านลบ.ม.” รองนายกรัฐมนตรีกล่าว
โครงการสำคัญๆ ที่รัฐบาลได้ดำเนินการ เช่น การเพิ่มศักยภาพการเก็บกักอ่างเก็บน้ำคลองสียัด เพิ่มความจุอ่างเก็บน้ำหนองค้อ เพิ่มความจุอ่างเก็บน้ำคลองหลวงรัชชโลธร ก่อสร้างปรับปรุงขยายกปภ.สาขาบ้านฉาง การเพิ่มประสิทธิภาพอ่างเก็บน้ำประแสร์ จ.ระยอง เป็นต้น
ส่วนแผนงานในอนาคตเพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นนั้นมีทั้งสิ้น 38 โครงการ ใน 9 กลุ่มโครงการหลัก ได้แก่ การก่อสร้างแหล่งน้ำใหม่ ปรับปรุงแหล่งน้ำเดิม ก่อสร้างโครงข่ายน้ำใหม่ ปรับปรุงโครงข่ายน้ำเดิม ก่อสร้างระบบสูบกลับ ขุดลอก/แก้มลิงพื้นที่ลุ่มต่ำ บ่อบาดาลอุตสาหกรรม สระเอกชน และการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล เพื่อให้มีปริมาณน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้น872 ล้าน ลบ.ม. โดยโครงการทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในปี 2580
อย่างไรก็ตาม ในระยะเร่งด่วน สทนช. ได้บูรณาการ เร่งรัดการขับเคลื่อนตามแผนงานโครงการไปแล้ว 17 โครงการ ดำเนินการแล้วเสร็จ 6 โครงการ ได้น้ำเพิ่มขึ้นประมาณ 111 ล้าน ลบ.ม. อยู่ระหว่างก่อสร้าง 11 โครงการ คาดว่าแล้วเสร็จภายในปี 2567 จะได้น้ำเพิ่มขึ้นอีก 151 ล้าน ลบ.ม.
นอกจากนี้ได้เสนอให้มีการเร่งรัดโครงการที่สำคัญอีก 12 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการที่ต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาความเหมาะสม การมีส่วนร่วมกับประชาชน และโครงการที่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยให้หน่วยงานปรับแผนดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2569 จะได้น้ำเพิ่มขึ้น 183 ล้าน ลบ.ม. ได้แก่ โครงการอ่างเก็บน้ำคลองโพล้ จ.ระยอง อ่างเก็บน้ำบ้านหนองกระทิง จ.ฉะเชิงเทรา ระบบสูบกลับอ่างเก็บน้ำคลองสียัด จ.ฉะเชิงเทรา เป็นต้น อีก 9 โครงการ สทนช.จะกำกับให้ดำเนินการตามแผนงานของหน่วยงาน โดยแล้วเสร็จภายในปี 2573 จะได้น้ำเพิ่มขึ้น 426 ล้าน ลบ.ม.
ดังนั้น พื้นที่ EEC จะมีน้ำเพียงพอกับความต้องการอย่างแน่นอน.... “บิ๊กป้อม”ฟันธง!!
รัฐศักดิ์ พลสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี