“บิ๊กป้อม” ปาฐกถาพิเศษในเวทีการประชุมนโยบายระดับโลกกว่า 15 ประเทศ เกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านทรัพยากรน้ำ พร้อมแสดงจุดยืนประเทศไทยนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจ
พอเพียงมาประยุกต์ใช้ ให้ประชาชนทุกภาคส่วนเข้าถึงทรัพยากรน้ำโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
เมื่อเร็วๆ นี้ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในฐานะตัวแทนประเทศไทย ในการประชุมเชิงนโยบายระดับรัฐมนตรี Water Dialogues for Results Bonn 2021 : Accelerating Cross - Sectoral SDG 6 Implementation เพื่อหารือเชิงนโยบายในการสนับสนุนให้สมาชิกเร่งรัดการดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านทรัพยากรน้ำ ค.ศ. 2030 ผ่านระบบประชุมทางไกล ซึ่งมีรัฐมนตรีจาก 15 ประเทศ เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย ฝรั่งเศส เซเนกัล แอฟริกาใต้ ทาจิกิสถาน จาเมกา สโลวีเนีย ฟินแลนด์ ฟิจิ อียิปต์ โปรตุเกส นามิเบีย แองโกลา แคเมอรูน เปรู และประเทศไทย เข้าร่วมประชุม โดยมี Mr.Svenja Schulze รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม คุ้มครองธรรมชาติ และความปลอดภัยทางปรมาณู (BMU) สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เป็นประธาน
สำหรับการปาฐกถาพิเศษของรองนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ มีสาระสำคัญแสดงจุดยืนของประเทศไทยที่มีความพร้อมจะขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านน้ำ ภายในปี 2030 โดยการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ พร้อมทั้งตระหนักถึงการเข้าถึงน้ำที่สะอาดถูกสุขอนามัยอย่างพอเพียง เป็นธรรมและทั่วถึง รวมทั้งให้ความสำคัญของการพัฒนาทรัพยากรน้ำที่เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน ภายใต้ผลกระทบการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเกิดอุทกภัย การขาดแคลนน้ำ และคุณภาพน้ำ เพื่อให้ประชาชนทุกภาคส่วนเข้าถึงทรัพยากรน้ำได้โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และที่สำคัญประเทศไทยจะนำหลักธรรมาภิบาลนวัตกรรม โมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG model)มาประยุกต์ความรู้และเทคโนโลยี สำหรับใช้ในการดำเนินงานและบูรณาการการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการดำเนินการในทุกระดับ
นอกจากนี้ พลเอกประวิตร ยังจะกล่าวถึงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ว่า เป็นวิกฤติที่ใช้เป็นโอกาสในการวางแผน เพื่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน ด้วยการพัฒนากลไก สร้างความมั่นคงด้านอาหาร น้ำ และสุขาภิบาล
ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ คณะรัฐมนตรียังเห็นชอบร่างสารทางการเมือง From Dialogues to Results - Key messages for Accelerating Cross - Sectoral SDG 6 Implementation โดยมอบหมาย ให้ สทนช. เป็นผู้ให้การรับรองร่างสารทางการเมืองดังกล่าวในนามประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อเน้นย้ำความมุ่งมั่นในการเร่งรัดการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านน้ำ ภายใต้วาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 และจะเป็นหนึ่งในข้อเสนอแนะที่จะนำเสนอต่อที่ประชุม UN Conference on the Mid-term Review of Water Action Decade,2018 - 2028 ซึ่งจะมีขึ้นใน ปี พ.ศ. 2566 มีเนื้อหาครอบคลุมความร่วมมือในการดำเนินงานของภาครัฐ ผู้ให้บริการ องค์กรพหุภาคี และระบบสหประชาชาติ ซึ่งจะทำให้ ประเทศไทยได้รับความร่วมมือทวิภาคี และพหุภาคีการสร้างโอกาสในการได้รับการสนับสนุนเเหล่งเงินจากต่างประเทศ รวมถึงการได้รับความร่วมมือทางวิชาการ องค์ความรู้ และเทคโนโลยีใหม่ๆ
ทั้งนี้ ภายใต้สารทางการเมืองดังกล่าว ได้กำหนดแนวทางเร่งรัดการขับเคลื่อน 5 ด้าน ดังนี้ 1.ด้านเงินทุนปรับปรุงการกำหนดเป้าหมาย และการใช้เงินทุนที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งระดมทรัพยากรในประเทศ และดึงดูดการลงทุนเพิ่มเติมจากแหล่งภาครัฐและเอกชน 2.ด้านข้อมูล ผู้มีอำนาจการตัดสินใจเชิงนโยบาย ต้องใช้ข้อมูลที่มีคุณภาพ เข้าถึงได้ทันเวลาและเชื่อถือได้ เพื่อนำมาวิเคราะห์ วางแผน และดำเนินการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยจะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง 3.ด้านขีดความสามารถ พัฒนาขีดความสามารถที่จำเป็น โดยถ่ายทอดองค์ความรู้แบบองค์รวมนอกเหนือจากการฝึกอบรมเพื่อส่งเสริมการตัดสินใจและสร้างความร่วมมือในทุกระดับ 4.ด้านนวัตกรรม นำองค์ความรู้ดั้งเดิมพัฒนาเข้ากับเทคโนโลยีที่ทันสมัยและแนวทางที่เป็นนวัตกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำและประกันการจัดหาน้ำจืดอย่างยั่งยืน และ 5.ด้านธรรมาภิบาล สร้างการธรรมาภิบาลด้านน้ำในทุกระดับ และความร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี