ในยุคที่โรคระบาด โควิด-19 อยู่รอบตัวเรา ข่าวปลอม หรือ Fake Newsก็ดูเหมือนจะระบาดไม่แพ้ ยิ่งเทคโนโลยีการสื่อสารล้ำหน้าเท่าไหร่ การกระจายข่าวปลอมในทุกแพลตฟอร์มก็รวดเร็วและมีอิทธิพลมากเท่านั้น
ข่าวปลอม เป็นเครื่องมือของผู้ฉวยโอกาส สร้างความสับสนวุ่นวาย สร้างความแตกแยก เกิดความสั่นคลอนทางความคิด
ความเชื่อ มุ่งหวังหลอกลวง ฉวยโอกาสเพื่อผลประโยชน์ตนเอง เป็นกลโกงอย่างหนึ่งของผู้ไม่ประสงค์ดีที่มีอยู่ทุกวงการ รวมถึงมิจฉาชีพที่ปรากฏเป็นข่าวเรื่อยมา
ในอดีต เราจะเรียก ข่าวปลอม หรือ Fake News ว่า“บัตรสนเท่ห์” หมายถึง จดหมายฟ้องหรือกล่าวโทษผู้อื่น นำมาทิ้งไว้โดยมิได้ลงชื่อจริงของผู้เขียน เมื่อใครพบเจอก็จะลือต่อๆ กันไปไม่ได้เกิดขึ้นในยุคที่เราอยู่ แต่มีมานานแล้ว
พงศาวดารกรุงศรีอยุธยากล่าวไว้ว่า ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ กษัตริย์พระองค์ที่ ๑๐ ก็มีการทิ้งบัตรสนเท่ห์กันแล้ว ด้วยความที่หลงเชื่อผิดๆ จึงทำให้ขุนนางดีๆ ถูกฆ่าตายไปหลายคน เมื่อความจริงปรากฏจึงวางโทษไว้ว่า การทิ้งบัตรสนเท่ห์เป็นความผิดร้ายแรง
ในยุครัตนโกสินทร์ก็มีข่าวปลอมไม่น้อยที่เป็นการกลั่นแกล้งให้เกิดความสั่นคลอนต่อราชวงศ์ และการเมือง ต่อเมื่อได้พิสูจน์ พิจารณาหาข้อเท็จจริงจนทราบผู้เผยแพร่แล้ว ผู้นั้นก็จะได้รับบทลงโทษตามกฎของยุคสมัยนั้นๆ ขอยกข่าวปลอมที่อื้อฉาวเรื่องหนึ่งมาเล่าให้ฟัง
ปี พ.ศ. ๒๓๕๙ สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) สิ้นพระชนม์ลง ครั้งนั้นว่ากันว่าสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (บุญศรี) วัดมหาธาตุอาจจะได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช แต่ก็ได้เกิดอธิกรณ์ (ต้องคดี) ซึ่งนับว่าเป็นครั้งสำคัญและครั้งแรกขึ้นในรัชกาลที่ ๒ เพราะมีพระเถระผู้ใหญ่ที่เป็นกำลังของคณะสงฆ์ต้องอธิกรณ์เมถุนปาราชิกพร้อมกันถึง ๓ รูป ดังมีบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดารว่า
“ในเดือน ๑๒ ปีชวดอัฐศก (พ.ศ. ๒๓๕๙) นั้น มีโจทก์ฟ้องว่า พระพุทธโฆษาจารย์ (บุญศรี) วัดมหาธาตุ รูป ๑ พระญาณสมโพธิ (เค็ม) วัดนาคกลางรูป ๑ พระมงคลเทพมุนี (จีน) วัดหน้าพระเมรุกรุงเก่ารูป ๑ ทั้ง ๓ รูปนี้ประพฤติผิดพระวินัยบัญญัติข้อสำคัญ ต้องเมถุนปาราชิกมาช้านาน จนถึงมีบุตรหลายคน โปรดให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นรักษ์รณเรศ กับพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงพิจารณาได้ความเป็นสัตย์สมดังฟ้อง จึงมีรับสั่งเอาตัวผู้ผิดไปจำไว้ ณ คุก”
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ พระองค์ได้หาทางระงับความแตกตื่นอันเกิดมาจากข่าวลือด้วยวิธีที่่ง่ายๆ และชัดเจน โดยพระองค์ได้ออกประกาศว่า ถ้าใครได้ยินข่าวลือจนทำให้สะดุ้งสะเทือนเมื่อไหร่ ก็ให้เขียนเรื่องราวไปกราบทูลถามได้ว่าเรื่องนั้น จริงหรือเท็จประการใด โดยพระองค์จะเป็นผู้พระราชทานคำตอบนั้นให้กับผู้ที่ถามมา ซึ่งผู้ที่จะทูลถามเรื่องข่าวลือกับรัชกาลที่ ๔ ก็จะมีแบบฟอร์มที่เป็นฎีกาที่มีเนื้อหา ดังนี้
“ข้าพระพุทธเจ้า...(ชื่อ) อำแดง...(ชื่อ) ตั้งบ้านเรือนอยู่ตำบล...(ชื่อ) สังกัดอยู่ในกรม...(ชื่อ) ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาส ถวายเรื่องราวให้ทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทด้วยข้าพระพุทธเจ้าได้ฟังนาย...(ชื่อ) อำแดง...(ชื่อ) หรือชาวบ้านโน้นชาวบ้านนี้ พูดกัน ลือกันว่า...(เนื้อหาของข่าวลือ)ข้าพระพุทธเจ้าขอรับพระราชทานความให้ทราบเกล้าประจักษ์สิ้นสงสัย แต่กระแสพระบรมราชโองการที่แท้ขอเดชะ”
เรียกได้ว่าใครก็ตามที่พยายามปล่อยข่าวลือให้สัมฤทธิผลในช่วงเวลานั้น ก็คงจะเก่งเกินคนเลยทีเดียว บัตรสนเท่ห์ และข่าวลือในสมัยราชวงศ์จักรีมีปรากฏขึ้นมาให้ได้ยินอยู่เนืองๆ ไม่ว่าจะเป็น ข่าวลืออันเกี่ยวข้องกับเหตุไฟไหม้นับเป็นเรื่องที่สร้างความตระหนกตกใจให้กับผู้คนในเมืองหลวง ในสมัยรัชกาลที่ ๕, ข่าวลือปฏิวัติ-ลอบทำร้ายรัชกาลที่ 7คราวสมโภชพระนคร 150 ปี พ.ศ. 2475 ซึ่งลือไปไกลถึงลอนดอน และอื่นๆ ซึ่งมิได้เกิดประโยชน์ใดๆ ต่อสังคม และประเทศชาติมีแต่จะทำให้เกิดความสับสน แตกแยก เสียเวลาในอันที่จะนำไปใช้ให้เกิดสาระ
กล่าวถึงปัจจุบัน จะเห็นได้ว่านับวันกระแสข่าวปลอม ข่าวลือจะมีปรากฏขึ้นทุกวัน ข้อมูลอันเป็นเท็จถาโถมราวกับคลื่นสึนามิทางความเชื่อที่ซัดกระหน่ำซ้ำเติมคนไทยหลายคนที่กำลังอ่อนแอจากการต่อสู้กับวิกฤติโรคระบาด หนำซ้ำยังมีข่าวปลอมจากมิจฉาชีพที่ต้องการล้วงข้อมูลส่วนตัวเพื่อหลอกลวงทรัพย์สินอีกไม่น้อย
เมื่อสังคมเริ่มแฝงไว้ด้วยความไม่ซื่อ และมีผู้ไม่หวังดีพยายามแสวงหาประโยชน์ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม ที่ก่อให้เกิดความสับสน สูญเสีย รัฐบาลจึงต้องจัดตั้งคณะทำงานศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Fake News) กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ขึ้น เพื่อทำหน้าที่ติดตามตรวจสอบประเด็นข้อมูลข่าวสารที่เป็นข่าวปลอม/ข่าวบิดเบือนที่มีการเผยแพร่ตามสื่อต่างๆโดยเฉพาะสื่อออนไลน์ เมื่อเกิดปัญหาจะได้คลี่คลายสถานการณ์และแก้ไขได้ทันที
อย่างไรก็ตาม ผู้เสพข่าวสารจึงต้องมีสติ ใช้วิจารณญาณและตรวจสอบที่มาก่อนตัดสินใจอย่าเชื่อโดยง่าย หากข่าวนั้นไม่มีตัวตนคนเขียน ไม่ระบุแหล่งข่าวหรือหน่วยงานที่ยืนยันได้ ก็ต้องฉุกคิดไว้ก่อนว่า นั่นอาจเป็นข่าวปลอม และไม่ควรบอกต่อหรือแชร์ออกไปโดยไม่ตรวจสอบ มิเช่นนั้นจะกลายเป็นว่าเราได้ตกเป็นเหยื่อ และเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างผลเสียต่อผู้อื่นก่อเกิดปัญหาสังคมโดยไม่ได้ตั้งใจ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี