รายงานพิเศษ : เจาะลึก EHIA อ่างฯคลองวังโตนด  ขับเคลื่อนความมั่นคงน้ำภาคตะวันออก

รายงานพิเศษ : เจาะลึก EHIA อ่างฯคลองวังโตนด ขับเคลื่อนความมั่นคงน้ำภาคตะวันออก

วันอังคาร ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

ภายหลังจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ได้เห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย และคุณภาพชีวิตของประชาชน(EHIA) โครงการอ่างเก็บน้ำคลองวังโตนด จังหวัดจันทบุรี เครือข่ายองค์กรอนุรักษ์ ได้ออกแถลงการณ์คัดค้านการเห็นชอบรายงาน EHIA ดังกล่าว

เครือข่ายองค์กรอนุรักษ์ อ้างว่า เป็นการก่อสร้างในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาสิบห้าชั้น และป่าสงวนแห่งชาติป่าขุนซ่อง ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบนิเวศ สูญเสียป่าพื้นราบขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพจำนวนมาก ทำลายแหล่งอาศัยของช้างป่าและสัตว์ป่าอื่นๆ ปิดกั้นทางเดินไม่ให้ช้างกลับคืนสู่ป่า และมีโอกาสสูงที่จะทำให้ช้างอพยพลงมาเดินหากินในพื้นที่ชุมชน เป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของราษฎร


อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องปกติของโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเมื่อสร้างประโยชน์แล้วย่อมมีทั้งผลกระทบตามมา เช่นเดียวกับโครงการอ่างฯคลองวังโตนด ไม่มีใครปฏิเสธว่า เมื่อก่อสร้างแล้วจะไม่มีผลกระทบ แต่เมื่อนำผลประโยชน์ที่ได้รับมาพิจารณาเปรียบเทียบกับผลกระทบที่สามารถแก้ไขหรือบรรเทาผลกระทบลงได้แล้วคุ้มค่ามากกว่า

อย่างนี้ควรจะดำเนินโครงการฯต่อไป ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้หรือไม่?

นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ในการจัดทำ EHIA กรมชลประทานได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขและข้อสั่งการของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งได้ดำเนินตามที่คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ ได้ให้ปรับปรุง แก้ไข จัดทำรายงานเพิ่มเติมและได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในทุกๆ เรื่อง ตลอดจนร่วมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังได้นำเสียงสะท้อนจากผู้ได้รับผลกระทบมาหาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม รวมทั้งให้ความร่วมมือในการอนุรักษ์ต้นน้ำและสัตว์ป่าอย่างเต็มที่ จะเห็นได้จากแผนงานลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่มีทั้งแผนปฏิบัติการป้องกันและแผนปฏิบัติการติดตามตรวจสอบรวมกันมากถึง รวม 39 แผนงาน พร้อมทั้งได้การจัดสรรงบประมาณสนับสนุนแผนงานดังกล่าวต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 15 ปี มากกว่า 600 ล้านบาทอีกด้วย

สำหรับข้อกังวลในเรื่องสัตว์ป่า โดยเฉพาะช้างป่านั้น กรมชลประทานได้หารือร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และมูลนิธิรอยต่อ 5 จังหวัด ที่จะดำเนินการตาม “โครงการแก่งหางแมวโมเดล” ในการป้องกันและลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับช้างป่า ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโป่งเทียมการสร้างแหล่งน้ำใหม่ การสร้างแหล่งอาหารสำรองสำหรับช้างและสัตว์ป่า การสร้างรั้วกันช้างรอบอุทยานแห่งชาติยาวประมาณ 60 กิโลเมตร เป็นต้น นอกจากนี้กรมชลประทานได้เตรียมแผนปลูกป่าทดแทนอีก 2 เท่าของพื้นที่ป่าที่ได้รับผลกระทบ หรือ จำนวน 29,200 ไร่ และเมื่อก่อสร้างแล้วก็จะดำเนินการคืนพื้นที่อนุรักษ์ ให้กับกรมอุทยานแห่งชาติฯ พร้อมจัดตั้งหน่วยพิทักษ์อุทยานขึ้นมาดูแล

ส่วนผลกระทบต่อประชาชนในเรื่องที่ทำกินและที่อยู่อาศัยนั้น จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาช่วยเหลือเป็นกรณีๆไป โดยจะมีการจ่ายค่าชดเชยพิเศษ สร้างบ้านมั่นคงชนบท ซึ่งความร่วมมือจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมทั้งได้จัดหาที่ดินสำรองไว้แล้วประมาณ 800 ไร่

“การจัดทำรายงาน EHIA โครงการอ่างฯคลองวังโตนดนั้น ดำเนินการตามเงื่อนไขและข้อสั่งการต่างๆทั้งหมด เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง โดยได้กำหนดขอบเขตของการศึกษาไว้ครอบคลุมสมบูรณ์ในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านวิชาการ ด้านสังคม ชุมชนและสิ่งแวดล้อม ด้านการบริหารจัดการน้ำ สภาพปัญหาและศักยภาพในปัจจุบัน รวมทั้งจัดทำมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานภาครัฐ และประชาชนในพื้นที่ ก่อนที่สรุปรายงานเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่มีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน พิจารณาให้ความเห็นชอบ” อธิบดีกรมชลประทานกล่าวย้ำ

เมื่อผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการอ่างฯคลองวังโตนดสามารถบรรเทาแก้ไขลดลงได้แล้วในส่วนของผลประโยชน์ที่ได้รับ จะคุ้มค่าหรือไม่ ?

ลุ่มน้ำคลองวังโตนด เป็นหนึ่งในลุ่มน้ำสาขาของลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก มีพื้นที่ประมาณ 1,652 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 3 อำเภอของจ.จันทบุรี คือ อ.ท่าใหม่ อ.นายายอามและอ.แก่งหางแมว ปริมาณน้ำท่ารายปีเฉลี่ย 1,237 ล้าน ลบ.ม. มีลำน้ำสาขาที่สำคัญ 3 ลำน้ำคือ คลองประแกด คลองหางแมว และคลองพะวาใหญ่ แต่ด้วยสภาพลุ่มน้ำตอนบนมีความลาดชันสูง การระบายน้ำไม่ดี และขาดแหล่งกักเก็บน้ำ ทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมในฤดูฝนเป็นประจำเกือบทุกปี ในขณะที่ฤดูแล้งก็ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ และน้ำเค็มรุกล้ำ สร้างความเสียหายปีละหลายร้อยล้านบาท

กรมชลประทานได้ดำเนินการศึกษาแผนการพัฒนาลุ่มน้ำคลองวังโตนด มาตั้งแต่ปี 2535 และได้ศึกษาความเหมาะสมอีกครั้งในปี 2545 พบว่า หากจะแก้ปัญหาลุ่มน้ำคลองวังโตนดได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความมั่นคงเรื่องน้ำได้อย่างยั่งยืน จะต้องมีการพัฒนาแหล่งน้ำด้วยการสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดกลางในพื้นที่ต้นน้ำ 4 แห่งตามลำดับความสำคัญ ดังนี้ อ่างเก็บน้ำคลองประแกด ที่ ต.พวา อ.แก่งหางแมวความจุ 60 ล้าน ลบ.ม. อ่างเก็บน้ำคลองพะวาใหญ่ต.พวา อ.แก่งหางแมว ความจุ 68 ล้าน ลบ.ม. อ่างเก็บน้ำคลองหางแมว ต.ขุนซ่อง อ.แก่งหางแมวความจุ 80 ล้านลบ.ม. และอ่างเก็บน้ำคลองวังโตนดต.ขุนซ่อง อ.แก่งหางแมว ความจุ 99.5 ล้านลบ.ม. รวมปริมาณน้ำที่กักเก็บได้ทั้งหมด 307.5 ล้านลบ.ม.

“ขณะนี้กรมชลประทานได้ดำเนินก่อสร้าง อ่างฯคลองประแกดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนอ่างฯคลองพะวาใหญ่ และอ่างฯคลองหางแมว จะแล้วเสร็จภายในปี 2565 เหลือเฉพาะอ่างฯคลองวังโตนด ซึ่งขณะนี้ได้ผ่าน EHIA แล้ว หลังจากนี้ก็จะเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นและสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนตามกฎหมาย ส่วนขั้นตอนการก่อสร้างนั้นจะต้องนำเสนอต่อคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน จากนั้นถึงจะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าจะใช้ระยะเวลาก่อสร้างไม่เกิน 5 ปี” อธิบดีกรมชลประทานกล่าว

เมื่อก่อสร้างอ่างฯคลองวังโตนดแล้วเสร็จ จะสามารถเพิ่มพื้นที่ชลประทานได้อีก 87,700 ไร่ ทำให้ประชาชนในพื้นที่มีน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภคได้ตลอดทั้งปี มีพื้นที่ได้รับประโยชน์มากกว่า 120,000 ครัวเรือน และเมื่อนำมาดำเนินการบริหารจัดการน้ำร่วมกับอ่างเก็บน้ำอีก 3 แห่งคือ อ่างฯคลองประแกด อ่างฯคลองพะวาใหญ่ และอ่างฯคลองหางแมว ตามแผนการพัฒนาลุ่มน้ำคลองวังโตนดแล้ว จะทำให้มีน้ำต้นทุนในการบริหารจัดการรวมกันได้ถึง 307.50 ล้าน ลบ.ม. มีพื้นที่รับประโยชน์ประมาณ 249,700 ไร่ ส่งผลให้ลุ่มน้ำคลองวังโตนดเป็นลุ่มน้ำตัวอย่างอีกลุ่มน้ำหนึ่ง ที่สามารถบริหารจัดการแก้ปัญหาเรื่องน้ำ ทั้งน้ำท่วม น้ำแล้ง และผลักดัน
น้ำเค็มได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ สร้างความอุดมสมบูรณ์ให้ทั่วทั้งลุ่มน้ำ เสริมความมั่นคงในเรื่องน้ำให้กับลุ่มน้ำคลองวังโตนด ซึ่งเป็นแหล่งปลูกผลไม้ที่เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ทุเรียน ลำไย มังคุด เงาะ หรือกล้วยไข่ สร้างรายได้เข้าประเทศปีละกว่า 25,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังผันน้ำส่วนเกิน ผ่านระบบสูบผันน้ำคลองวังโตนดไปเติมอ่างเก็บน้ำประแสร์จ.ระยอง ตามรายงานการศึกษาจะสูบผันน้ำช่วงเดือนมิถุนายน-ตุลาคม ปริมาณรวมปีละ 70 ล้านลบ.ม. อย่างไรก็ตามในอนาคตจะมีการสร้างท่อผันน้ำเส้นที่ 2 เพิ่มเติมตามแผนของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.) จะทำให้สูบผันน้ำได้รวมเป็นปีละประมาณ 140 ล้าน ลบ.ม. โดยอ่างฯประแสร์จะเป็นศูนย์กลาง(HUB)ในการกระจายน้ำผ่านโครงข่ายน้ำให้กับพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) 3 จังหวัดคือ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา จะทำให้ EECซึ่งเป็นแหล่งอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศมีความมั่นคงเรื่องน้ำอย่างยั่งยืน สร้างรายได้เข้าประเทศเป็นมูลค่ามหาศาล

สำหรับภาคประชาชนในพื้นที่ ส่วนใหญ่จะสนับสนุนให้เร่งดำเนินการก่อสร้างอ่างฯคลองวังโตนด อย่างเช่น ผศ.เจริญ ปิยารมย์ ประธานคณะกรรมการลุ่มน้ำคลองวังโตนด กล่าวว่า คนคลองวังโตนดอยากให้ภาครัฐขับเคลื่อนให้โครงการนี้ได้เกิดขึ้นโดยเร็ว เพราะปัญหาความแห้งแล้งนับวันจะรุนแรงมากขึ้นทุกปี ฝนที่ตกลงมาเป็นน้ำท่าปีละกว่า 1,200 ล้านลบ.ม. ไม่มีอะไรกักเก็บไว้ จึงเกิดปัญหาขาดแคลนน้ำใ่นช่วงฤดูแล้ง ขอความมั่นคงเรื่องน้ำให้กับคนภาคตะวันออกบ้าง อยากจะให้ทุกคนมาลงพื้นที่จะได้เห็นความเดือดร้อนของประชาชนอย่างแท้จริง

เช่นเดียวกับ นายวิเชียร งามระเบียบ เกษตรกรที่ใช้น้ำจากคลองวังโตนดตอนล่าง กล่าวว่าเกษตรกรส่วนใหญ่จะประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนของทุกปี เนื่องจากน้ำในคลองแห้งต้องซื้อน้ำใส่รถมาใช้รดสวนผลไม้ ต้องการให้กรมชลประทานก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทางตอนบนให้ครบทั้ง 4 แห่งเพื่อแก้ปัญหาน้ำอย่างยั่งยืนและก็ยินดีที่จะแบ่งปันน้ำในส่วนเกินให้กับพื้นที่อื่นๆ ที่ต้องการน้ำ

อ่างเก็บน้ำคลองวังโตนด ควรจะเดินหน้าต่อไปหรือไม่....น่าจะได้คำตอบ

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top