“ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ (Phuket Sandbox)” เป็นโครงการนำร่อง “เปิดประเทศ” รับนักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังไทยใช้มาตรการปิดประเทศมานานกว่า 1 ปี เพื่อควบคุมสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2564 เป็นต้นมา ซึ่งหากได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ก็จะนำไปสู่การเปิดพื้นที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ต่อไป (อาทิ การเปิดเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ในวันที่ 15 ก.ค. 2564) บนความคาดหวังว่าจะสามารถเปิดประเทศเต็มรูปแบบได้ใน 120 วัน ฟื้นฟูการท่องเที่ยวที่เคยทำรายได้ถึงร้อยละ 20 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ประเทศก่อนเกิดวิกฤติโรคระบาด
เมื่อเร็วๆ นี้ แผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) จัดเสวนา (ออนไลน์) หัวข้อ“โควิด-19 VS Road Safety ภัยในโลกคู่ขนานบนเกาะภูเก็ต” ชวนบุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต มาบอกเล่าสถานการณ์ของภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ รวมถึงเรื่องของการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน อีกปัญหาที่อยู่คู่กับภูเก็ตมานาน แต่ก็มีความพยายามและความร่วมมือของภาคเครือข่ายในพื้นที่เพื่อแก้ไข
พญ.เหมือนแพร บุญล้อม รองแพทย์สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต เล่าถึงบรรยากาศบนเกาะภูเก็ต นับตั้งแต่เริ่มเปิดโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ว่า นับตั้งแต่วันที่ 1-10 ก.ค. 2564 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนแล้ว 3,287 คนหลักๆ จะมาจากสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมนี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิสราเอล ส่วนการฉีดวัคซีนนั้น คนในพื้นที่ร้อยละ 89 ได้รับการฉีดวัคซีนอย่างน้อยเข็มแรก และร้อยละ 71 ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว
โดยระบบสาธารณสุขบนเกาะภูเก็ต คาดการณ์ไว้แล้วว่าอย่างไรก็ต้องมีนักท่องเที่ยวติดเชื้อโควิด-19 เข้ามาบ้าง จึงเตรียมระบบรักษาและกักตัวผู้สัมผัสเสี่ยงสูงไว้ เว้นแต่หากมีกรณีนักท่องเที่ยวติดเชื้อรายใหม่มากกว่า90 คนต่อสัปดาห์ หรือเกิดคลัสเตอร์ใหม่เกิน 3 คลัสเตอร์ หรือเกิดการระบาดจนไม่สามารถสืบสวนหาที่มาที่ไปได้ จึงจะชะลอหรือทบทวนโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์
ทั้งนี้ ในช่วง 1 เดือนล่าสุดก่อนเปิดโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ภูเก็ตมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เฉลี่ยไม่เกิน 10 คนต่อวันจึงเป็นพื้นที่ที่กิจกรรมต่างๆ ดำเนินไปแทบจะใกล้เคียงสถานการณ์ปกติ เช่น รวมกลุ่มได้ถึง 200 คน สามารถดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารได้ เป็นต้น อนึ่ง สำหรับท่าทีของคนในพื้นที่ พบว่าสนับสนุนมาตรการคัดกรองที่เข้มงวด เพื่อให้โครงการดำเนินไปได้ไม่สะดุด สร้างความประทับใจออกสู่สายตาชาวโลกเพื่อรอรับเดือนตุลาคม ซึ่งจะเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูกาลท่องเที่ยว หรือไฮซีซั่นส์ (Hi Seasons)
“คนในพื้นที่ก็กังวล หมายถึงว่าไม่อยากให้มีโรคระบาดในพื้นที่ แต่ความกังวลตรงนี้นับตั้งแต่เราเปิดแซนด์บ็อกซ์มาอาทิตย์หนึ่ง เรื่องนักท่องเที่ยวที่เข้ามาค่อนข้างรัดกุมมาก เราก็จะกังวลเรื่องติดเชื้อคนในประเทศแทน คนในพื้นที่ก็ร่วมด้วยช่วยกัน ทุกคนกระตือรือร้นที่จะไปฉีดวัคซีนเพื่อให้ได้ 70% ของคนในพื้นที่ ทุกคนก็พยายาม เรามีมาตรฐาน SHA+ อีกมาตรฐานหนึ่งที่โปรโมทไปในสถานที่พัก สถานที่ให้บริการ พวกร้านนวด พวกรถบริการ
ก็คือโปรโมทเพื่อให้นักท่องเที่ยวรู้ว่า ถ้าผ่านมาตรฐาน SHA+ คุณมั่นใจในเรื่องโรคติดต่อได้ระดับหนึ่ง แล้วก็พวก DMHTTA ภาครัฐโปรโมท พวกสถานบริการเขาก็จะมี Stop COVID อะไรเยอะแยะ ซึ่งทุกคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีเพื่อที่จะให้แซนด์บ็อกซ์เปิดไปได้” พญ.เหมือนแพร กล่าว
พญ.เหมือนแพร กล่าวต่อไปว่า คนส่วนใหญ่ในพื้นที่ภูเก็ต โดยเฉพาะคนทำงานภาคการท่องเที่ยวทราบดีถึงความสำคัญของมาตรการป้องกันโรคระบาด รวมถึงความตระหนักที่ว่าแม้ฉีดวัคซีนไปแล้วก็อาจยังติดเชื้อได้ ซึ่งมีเพียงบางส่วนที่เข้าใจผิด เช่น เชื่อว่าฉีดวัคซีนแล้วไม่ติดโควิดแน่นอน จึงต้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ รวมถึงการที่เชื้อเปลี่ยนแปลงไป มาตรการป้องกันจึงจำเป็น ทั้งนี้ “ชาวภูเก็ตทุกภาคส่วนค่อนข้างร่วมมือร่วมใจเพื่อเป้าหมายร่วมกัน” เช่น ในเรื่องการเตรียมการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ การฉีดวัคซีนที่ทำได้มากถึง 1-2 แสนครั้งต่อเดือน มาจากการลงทุนลงแรงของภาคเอกชนและภาคประชาชน ประกอบกับการมีผู้ว่าราชการจังหวัดที่สามารถประสานได้ทุกฝ่าย
ส่วนประเด็นอุบัติเหตุบนท้องถนนนั้น ก่อนสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ภูเก็ตเป็นจังหวัดหนึ่งที่การจราจรหนาแน่น ในฤดูกาล ท่องเที่ยวผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 15-20 ราย แต่ในช่วงที่ใช้มาตรการล็อกดาวน์และปิดสถานบันเทิง ยอดผู้เสียชีวิตเฉลี่ยต่อเดือนจะมีเพียง 4-5 ราย ส่วนช่วงที่ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติแต่ก็ไม่มีการล็อกดาวน์ ยอดผู้เสียชีวิตเฉลี่ยต่อเดือนจะอยู่ที่ 10-15 ราย
ทั้งนี้ ในช่วงที่ยังมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมาก ภูเก็ตได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวเฉลี่ย 14 ล้านคนต่อปีหากเป็นนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกมักเป็นวัยรุ่น-วัยทำงาน มาเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและเที่ยวสถานบันเทิง และอุบัติเหตุที่เกิดกับนักท่องเที่ยวมักมาจากการเช่ามอเตอร์ไซค์มาขี่ด้วยความเร็วสูง บวกกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสภาพภูมิประเทศที่ถนนค่อนข้างคดเคี้ยว
ในขณะที่นักท่องเที่ยวชาวเอเชีย จะมากันเป็นรถบัสขนาดใหญ่ หรือรถตู้ที่มักทำความเร็ว เมื่อต้องเผชิญกับสภาพการจราจรที่คับคั่งก็เป็นสาเหตุของอุบัติเหตุได้เช่นกัน โดยร้อยละ 10 ของผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนนคือกลุ่มนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ภูเก็ตได้กลับมาต้อนรับนักท่องเที่ยวตามโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ เบื้องต้นยังคาดการณ์ว่าอุบัติเหตุไม่น่ามีจำนวนมากนัก เห็นได้จากพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่นิยมใช้บริการขนส่งสาธารณะหรือเช่ารถยนต์
“ของคนไทยทั้งคนพื้นที่และคนนอกที่เข้ามา พฤติกรรมจริงๆ ถือว่าคล้ายๆ เดิม แต่ข้อดีคือการจราจรเราไม่คับคั่งมาก และเหมือนสถานบันเทิงยังไม่เปิดด้วย เรื่องแอลกอฮอล์เราก็เพิ่งผ่อนคลายกัน ช่วงที่ปิดสถานบันเทิงอุบัติเหตุก็ลดลงไปมากเลย” พญ.เหมือนแพร กล่าว
ด้าน นพ.วิวัฒน์ ศีตมโนชญ์ ผู้จัดการโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านความปลอดภัยทางถนนในประเทศไทย กล่าวว่า ในหลายประเทศเมื่อบุคคลใดมีใบขับขี่รถยนต์แล้ว ก็จะอนุญาตให้ขี่มอเตอร์ไซค์ประเภท “โมเพ็ด (Moped)” หมายถึง“มอเตอร์ไซค์ที่ทำความเร็วได้ไม่เกิน50 กิโลเมตร/ชั่วโมง” ซึ่งเมื่อนำหลักนี้มาใช้ในประเทศไทย โดยไม่กำหนดให้ผู้ที่จะขี่มอเตอร์ไซค์ได้ต้องมีใบขับขี่เฉพาะของมอเตอร์ไซค์ ทำให้คนเหล่านี้ซึ่งไม่มีทักษะในการขับขี่เพียงพอเมื่อนำรถออกไปขี่บนท้องถนนจึงเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ นอกจากนี้ การที่หลายประเทศกำหนดให้ขับรถชิดขอบทางด้านขวา เมื่อมาท่องเที่ยวในประเทศไทยที่ให้ขับรถชิดขอบทางด้านซ้าย ทำให้เกิดความสับสน
เมื่อดูสถานการณ์บนเกาะภูเก็ต พบปัญหาในการบังคับใช้กฎหมาย เช่น ในช่วงที่ระงับการตั้งด่านไว้ชั่วคราวเพื่อทบทวนหาวิธีการตั้งด่านที่ได้มาตรฐาน พบการตรวจจับผู้ไม่สวมหมวกกันน็อกลดลงร้อยละ 37.5 ตรวจจับคนเมาแล้วขับลดลงร้อยละ 43.1 ซึ่งกรณีเมาแล้วขับนั้นสถานการณ์โควิด-19 ก็เป็นอีกตัวแปรที่ทำให้ทั้งตำรวจและประชาชนไม่สบายใจที่จะใช้เครื่องเป่าลมหายใจเพื่อวัดปริมาณแอลกอฮอล์ แต่ในทางกลับกันพบการตรวจจับผู้ขับขี่ยานพาหนะเร็วเกินกฎหมายกำหมดเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 148.4
“ของภูเก็ตเราเริ่มมาหลายปีแล้ว เราได้รับการสนับสนุนเครื่องตรวจจับความเร็วจาก Safer Road Foundation แล้วก็เป็นงบของจังหวัดอีก ในระยะแรกเมื่อประมาณ 4-5 ปีที่แล้วเรามีอยู่ 4 เครื่อง แต่ในช่วง 2 ปีที่แล้วก็ได้รับการจัดสรรจากงบกลางซึ่งทางกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เป็นผู้จัดซื้ออีกประมาณ 7-8 เครื่อง ฉะนั้นในภาพรวมเรามีเครื่องตรวจจับความเร็วสิบกว่าเครื่อง” นพ.วิวัฒน์ ระบุ
นพ.วิวัฒน์เล่าต่อไปว่า เคยมีการสำรวจความคิดเห็นของชาวภูเก็ตในการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการบังคับใช้กฎหมาย พบว่า ร้อยละ 70-80 เห็นด้วย จากหลากหลายเหตุผล เช่น ช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมคนได้ ลดการเผชิญหน้าระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ รวมถึงลดปัญหาทุจริตด้วยเพราะเครื่งมือจะไม่แยกว่าเป็นรถของใคร ซึ่งทางมหาวิทยาลัยขอนแก่น เคยประเมินความคุ้มทุนไว้มากที่สุดถึง 4 เท่า
ทั้งนี้ ภูเก็ตยังเป็นต้นแบบของการทำงานแบบทุกฝ่ายร่วมมือกัน อาทิ ในด้านอุบัติเหตุบนท้องถนน มีการทำงานร่วมกันตั้งแต่ตำรวจ คมนาคม สาธารณสุข ปภ. บริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ภาคีภาคประชาชน ไปจนถึงสื่อมวลชน “การทำงานข้ามสาขาแต่ไปด้วยกันนำไปสู่ความสำเร็จ” ด้วยอาศัยข้อมูลและทรัพยากรที่แต่ละฝ่ายมี อีกทั้งยังมีระบบฐานข้อมูลที่ดี สามารถระบุได้ว่าจุดใดมีความเสี่ยงบ้าง
สำหรับ “ชาวต่างชาติ” จากต่างประเทศที่ต้องการเดินทางไปภูเก็ต ต้องปฏิบัติดังนี้ 1.ต้องเดินทางมาจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำหรือปานกลาง (สอบถามได้ที่กระทรวงสาธารณสุขหรือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) โดยต้องพำนักในประเทศดังกล่าวก่อนการเดินทางอย่างน้อย 21 วัน 2.ยื่นขอหนังสืออนุญาตเดินทางเข้าประเทศ (COE) 3.ต้องมีใบรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 ชนิดที่กระทรวงสาธารณสุขของไทย หรือที่องค์การอนามัยโลก (WHO) รับรอง ในจำนวนครบถ้วนตามที่วัคซีนแต่ละชนิดกำหนด มาอย่างน้อย 14 วันก่อนการเดินทาง
4.มีใบรับรองผลการตรวจคัดกรองหาการติดเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธีPCR ว่าผลเป็นลบหรือไม่ติดเชื้อ ในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนออกเดินทาง 5.ต้องซื้อประกันภัยโควิด-19 ที่มีวงเงินคุ้มครองขั้นต่ำ 1 แสนเหรียญสหรัฐ หรือราว 3 ล้านบาท 6.ต้องอยู่ใน จ.ภูเก็ต และเข้าพัก ณ โรงแรมที่ได้รับมาตรฐาน SHA+ (SHA Plus) เป็นเวลา 14 วัน ซึ่งโรงแรมที่ได้มาตรฐานนี้หมายถึงพนักงานอย่างน้อยร้อยละ 70 ได้รับวัคซีนโควิด-19 ครบตามจำนวนที่วัคซีนชนิดนั้นๆ กำหนดแล้ว
7.นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะต้องรับการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 จำนวน 3 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อเดินทางมาถึงสนามบินภูเก็ต และต้องรอผลอยู่ในห้องพักเป็นเวลา 1 คืน ส่วนครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 จะตรวจในวันที่ 6-7 และวันที่ 12-13 ของการอยู่ใน จ.ภูเก็ต ตามลำดับ ณ โรงแรมที่พัก หรือห้องปฏิบัติการภายนอกของโรงพยาบาลคู่สัญญา และ 8.เมื่ออยู่ใน จ.ภูเก็ต ครบ 14 วัน และมีผลการตรวจไม่พบเชื้อโควิด-19 จึงจะได้รับอนุญาตให้ออกไปท่องเที่ยวในจังหวัดอื่นๆ ของประเทศไทยต่อไป
ส่วน “คนไทยจากจังหวัดอื่นๆ” ที่ต้องการเดินทางไปยังภูเก็ต ต้องปฏิบัติดังนี้ 1.มีใบรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบถ้วนตามจำนวนที่วัคซีนนั้นๆ กำหนด เช่น หากเป็น Sinovacต้องฉีดครบ 2 เข็มเท่านั้น ยกเว้นAstraZeneca ที่อนุโลมให้กรณีผู้ที่ได้รับการฉีดแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม หรือมีผลตรวจไม่ติดเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR หรือวิธีการ Antigen Testไม่เกิน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับการตรวจ 2.กรณีที่มาจากพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (กรุงเทพฯ และอีก 9 จังหวัด) และพื้นที่ควบคุมสูงสุด(24 จังหวัด) ต้องใช้หลักฐานทั้ง 2 อย่างในข้อ 1
อนึ่ง ตลอดเวลาที่อยู่ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ต้องยินยอมติดตั้งแอปพลิเคชั่นติดตามตัวและเปิดระบบแจ้งพิกัดตลอดเวลาด้วย!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี