ภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่ออาหารทะเลที่เป็นธรรมและยั่งยืน (CSO-Coalition for Ethical and Sustainable Seafood in Thailand) เปิดตัวงานวิจัยล่าสุดเรื่อง “การสำรวจรูปแบบการจัดจำหน่ายสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่โตไม่ได้ขนาดในประเทศไทยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” พร้อมจัดเวทีเสวนา (ออนไลน์) ในหัวข้อ “ปัญหาปลาเด็ก เรื่องไม่เล็กของทะเลไทย” ซึ่งสนับสนุนโดยองค์การอ็อกแฟม (Oxfam) ในประเทศไทย และสหภาพยุโรป (EU) เพื่อย้ำให้เห็นถึงวิกฤติอาหารทะเล หากไม่หยุดขายและบริโภคสัตว์น้ำวัยอ่อน พร้อมเรียกร้องผู้บริโภคส่งสารถึงซูเปอร์มาร์เก็ตให้เลิกขายสัตว์น้ำที่ยังไม่โตเต็มวัย หวั่นทรัพยากรสัตว์น้ำหมดไปจากทะเลไทย
วิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย เผยว่า ที่ผ่านมามีปัญหาอย่างหนึ่งที่แก้ไม่ตกคือการเอาสัตว์น้ำละอ่อนมาใช้ในการบริโภค โดยพบว่าในการประมงนั้นมีการจับสัตว์น้ำละอ่อนจำนวนมากซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศตลอดจนเศรษฐกิจและผู้บริโภคเอง เนื่องจากเมื่อสัตว์น้ำที่ยังไม่โตเต็มวัยถูกจับไปจนหมดจึงไม่เหลือสัตว์น้ำให้ขยายพันธุ์ในเวลาต่อๆ ไป
“ที่ผ่านมาเมื่อสัตว์น้ำละอ่อนถูกจับมาวางขายมักถูกเปลี่ยนชื่อเรียกเสมอจนผู้บริโภคเข้าใจว่าเป็นปลาสายพันธุ์เล็ก ไม่ใช่ปลาวัยอ่อน เช่น ปลาทูวัยเด็กที่ถูกจับมาขายจะถูกนำไปเปลี่ยนชื่อ เป็นปลาทูแก้วหรือหมึกกล้วยวัยละอ่อนจะถูกเรียกว่าหมึกกะตอย ปลากะตักก็ถูกใส่ชื่อว่าเป็นปลาข้าวสาร หรือปูม้าวัยละอ่อนก็เปลี่ยนชื่อมาเป็นปูกะตอย โดยผู้บริโภคอาจเข้าใจว่าทั้งหมดนี้เป็นสัตว์น้ำสายพันธุ์ใหม่หรือเป็นชื่อสัตว์น้ำสายพันธุ์เล็ก ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ แต่เป็นสัตว์น้ำวัยเด็กที่ยังไม่โตเต็มวัย” วิโชคศักดิ์ กล่าว
นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย กล่าวต่อไปว่า การที่สัตว์น้ำวัยเด็กหายไปจากน่านน้ำทะเลนั้นส่งปัญหาโดยตรงต่อระบบนิเวศ ซึ่งปลาที่ถูกมนุษย์จับมาวางขายมากที่สุดคือ ปลากะตัก ปลาขนาดเล็กโดยธรรมชาติไม่ว่าจะวัยเด็กหรือวัยโต ทำให้มันเป็นอาหารหลักของปลาทุกชนิดในระบบนิเวศ แต่เมื่อมนุษย์จับปลากะตักมาขายทำให้ห่วงโซ่อาหารตรงนี้ขาดหายไป และทำให้ปลาโตกว่าต้องหันมากินลูกตัวเอง ต่อมาคือตัวปลาอย่างอื่นก็เริ่มลดน้อยถอยลงไป ปลาทูแทบจะหายไปจากทะเลไทย มนุษย์ที่ไปจับปลาจึงจับได้น้อยลงทำให้ต้องจับมากขึ้น
ซึ่งผู้ได้รับผลกระทบหลักๆ คือชาวประมงพื้นบ้านที่มีรายได้น้อย ส่วนประมงพาณิชย์ก็ต้องออกเรือให้จับมากขึ้น ใช้เวลา อวนและน้ำมันเรือมากขึ้น จนกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจทั้งระบบ เพราะต้องใช้สัตว์น้ำวัยอ่อนจำนวนมากจึงจะมีน้ำหนักครบหนึ่งกิโลกรัม แต่หากรอให้สัตว์น้ำโตเต็มวัยแล้วขายก็ไม่จำเป็นต้องใช้ปริมาณมากถึงขนาดนั้น อันที่จริงก็รอเพียง 6 เดือน ปลาส่วนใหญ่ก็โตเต็มวัยและทำให้ราคาในตลาดเปลี่ยนเป็นราคาถูกลง โดยหากไม่จัดการเรื่องนี้จะเกิดวิกฤติอย่างรุนแรง คนไทยจะกินปลาที่แพงมากขึ้น หาปลาที่มีคุณภาพมาบริโภคได้ยากมากขึ้น
ขณะที่ จิรศักดิ์ มีฤทธิ์ ชาวประมงพื้นบ้านจ.ประจวบคีรีขันธ์ เล่าว่า สัตว์วัยอ่อนเป็นสัตว์น้ำขนาดเล็ก การใช้เครื่องมือจึงต้องเล็กกว่าตัวปลาซึ่งส่วนมากก็ไม่ได้จับกันได้บ่อยนัก โดยการทำประมงนั้นแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มแรกคือชาวประมงพื้นบ้านที่จะออกเรือแค่วันละครั้ง จับสัตว์น้ำแบบแยกประเภททำให้การออกเรือแต่ละครั้งต้องนำอุปกรณ์จับสัตว์น้ำเฉพาะชนิดไป ทำให้ชาวประมงพื้นบ้านไม่สามารถจับสัตว์น้ำได้คราวละมากๆ ต่อการออกเรือหนึ่งครั้ง
ซึ่งต่างจากประมงพาณิชย์เป็นประมงขนาดใหญ่ เครื่องมือมีความพร้อมกว่า ถ้าเป็นอวนล้อมจับก็จะมีออกคืนหนึ่ง 3-5 ครั้ง ทำให้จับสัตว์น้ำได้เป็นปริมาณมาก โดยมีช่วงหนึ่งที่ตนจับปลาผิดประเภทโดยใช้อวนตาถี่ สามารถจับลูกปลาได้วันหนึ่งหลายพันกิโลกรัม ทำให้เมื่อปี 2551 เกิดวิกฤติในประเทศคือไม่มีปลาให้จับ ต้องอพยพครอบครัวไปหากินที่ต่างอำเภอ
“สมาคมรักษ์ทะเลไทยได้มาลงพื้นที่ ถอดบทเรียนในการทำประมง ว่าทำไมเมื่อก่อนปลาเยอะแต่ตอนนี้ไม่มีปลาให้จับเลย ก็ได้ข้อสรุปว่าเราจับลูกปลาหมดจนไม่มีปลาขยายพันธุ์เลย เราจึงเลิกใช้อวนปลาขนาด 2.5 เป็นข้อตกลงในชุมชนว่าจะไม่ใช้อวนขนาดเล็กมาจับปลาอีก ทำให้เห็นภาพว่าถ้าเราใช้ลูกปลาทะเล อาชีพเราก็พัง แต่ถ้าเราปล่อยให้เขาโตแล้วค่อยจับ เราก็มีโอกาสรอด” จิรศักดิ์ ระบุ
ด้าน ดวงใจ พวงแก้ว Producer Outreach Manager - SE Asia องค์กรมาตรฐานอาหารทะเลยั่งยืน ASC เสริมว่า สัตว์น้ำแต่ละสายพันธุ์นอกจากจะมีหน้าที่เรื่องห่วงโซ่อาหารของกันและกัน ยังมีหน้าที่รับผิดชอบต่อกันในการสร้างความสมดุลในท้องทะเล หากมนุษย์บริโภคมากไปโดยไม่ให้สัตว์น้ำได้ฟื้นฟู เช่น บริโภคโดยไม่ให้สัตว์น้ำได้มีโอกาสแพร่พันธุ์ หรือรักษาความสมดุลในระบบนิเวศก็อาจจะเกิดปัญหา
“ประมงพื้นบ้านหรือประมงพาณิชย์ เมื่อออกเรือจากเมื่อก่อนออกไปไม่นานก็ได้สัตว์น้ำกลับมาคุ้มค่าแรง แต่เมื่อสัตว์น้ำ
น้อยลง ทำให้เรือประมงวิ่งออกไปไกลมากขึ้นหมดน้ำมันมากขึ้น เสียทรัพยากรแรงงานและเวลา ทั้งยังก่อให้เกิดคาร์บอน ฟุตปรินต์ (Carbon Footprint-การวัดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากกิจกรรมของมนุษย์) มากขึ้น และสิ่งต่างๆ ที่ต้องสูญเสียไปเพื่อชดเชยในการเอาอาหารทะเลกลับมายังฝั่งด้วย” ดวงใจ กล่าว
ปิดท้ายด้วย ธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการองค์กรกรีนพีซ (Greenpeace) ประเทศไทย กล่าวว่า หากดูประมงโลกจะพบว่าจีนเป็นมหาอำนาจของประมงทะเล เข้าใจว่ากองเรือประมงออกหาปลามีจำนวนมาก จีนจับปลาร้อยละ 15 ของประมงโลก โดยนิยมจับปลาเป็ดจนส่งผลกระทบวงกว้างต่อระบบนิเวศทางทะเลของจีน ซึ่งร้อยละ 80 เป็นปลาวัยอ่อน ปริมาณของปลาเป็ดเหล่านี้มากกว่าปลาทั้งหมดที่จับได้ในประเทศไทย
ซึ่งที่ผ่านมาก็มีข้อเรียกร้องเช่นกัน เพราะนโยบายการประมงของจีนนั้นท้าทายมาก โดยมีการคุยกันว่าพยายามการลดการทำประมงทะเลให้เหลือ 10 ล้านตันต่อปี จาก12-13 ล้านตัน และลดจำนวนกองเรือประมงลงจะช่วยให้ทะเลฟื้นฟูกลับมาได้ระดับหนึ่ง ส่วนกรีนพีซในตุรกีมีงานรณรงค์เรื่องการจับสัตว์น้ำวัยอ่อนเมื่อราว 10 ปีก่อน และมีประชาชนราว 5-6 แสนคน ร่วมลงชื่อเรียกร้องให้รัฐบาลออกกฎหมายห้ามจับปลาวัยอ่อน 8 ชนิด ทั้งยังมีการกดดันในหลายๆ ทางจนเกิดการเปลี่ยนแปลงกฎหมายประมงในตุรกีตามมา
“ประเด็นนี้ต้องการการเปิดเวทีให้คนเข้ามามีส่วนร่วมเยอะๆ โดยเฉพาะผู้บริโภคซึ่งมีส่วนอย่างมากในการกำหนดชะตากรรมของทะเลไทย อาจต้องใช้แคมเปญ (Campaign-หัวข้อรณรงค์) ดึงดูดใจ ทำอย่างไรจึงจะเชื่อมผู้บริโภคแต่ละคนในเมืองหลวงที่ซื้อของจากโมเดิร์นเทรด (Modern Trade-ห้างค้าปลีก) มองว่าปลาต่างๆ โยงไปถึงชาวประมงพื้นบ้าน ชุมชนที่ดูแลทะเล และแสดงให้เห็นว่าพลังผู้บริโภคในเมืองมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดทิศทางทะเลไทย” ผอ.กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี