ภายใต้พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ยังได้ออกกฎหมายลำดับรองคือ พระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำ พ.ศ. 2564 เพื่อให้เหมาะสมในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและวิถีชีวิตของประชาชนจาก 25 ลุ่มน้ำเดิม เหลือ 22 ลุ่มน้ำใหม่
ดังนั้นในแต่ระดับจะต้องมีการคัดเลือกและสรรหากรรมการขึ้นมาบริหารซึ่งมีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงคือ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)การบริหารจัดการน้ำในระดับพื้นที่ จะเป็นการบริหารจัดการโดย “องค์กรผู้ใช้น้ำ”
ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวว่า สนทช. ได้เปิดรับจดทะเบียนก่อตั้งองค์กรผู้ใช้น้ำ มาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 จนถึงล่าสุดวันที่ 11 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา มีกลุ่มบุคคลที่สนใจยื่นคำขอจดทะเบียนก่อตั้งองค์กรผู้ใช้น้ำกว่า 2,674 องค์กร อนุมัติแล้ว 2,487 องค์กร โดยแบ่งเป็นกลุ่มผู้ใช้น้ำภาคเกษตรกรรม 2,071 องค์กร ภาคอุตสาหกรรม 235 องค์กร และภาคพาณิชยกรรม 181 องค์กร ที่เหลืออยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งกลุ่มผู้ใช้น้ำที่ยื่นคำขอนั้นจะอยู่ในลุ่มน้ำพื้นที่ภาคกลางที่อยู่ในความรับผิดชอบของ สทนช.ภาค 2 เป็นส่วนใหญ่ถึง 40% ลุ่มน้ำในพื้นที่ภาคเหนือที่อยู่ในความรับผิดชอบของ สทนช.ภาค 1 จำนวน 38% ลุ่มน้ำพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่อยู่ในความรับผิดชอบของ สทนช.ภาค 3 จำนวน 15% และลุ่มน้ำพื้นที่ภาคใต้ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ สทนช.ภาค4 จำนวน 7% กระจายครบทั้ง 22 ลุ่มน้ำหลักทั่วประเทศ
“องค์กรผู้ใช้น้ำเป็นการรวมกลุ่มกันของบุคคลที่ใช้น้ำในบริเวณใกล้เคียงและอยู่ในเขตลุ่มน้ำเดียวกัน จำนวนไม่น้อยกว่า 30 ราย จะมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ เพราะองค์กรผู้ใช้น้ำจะเข้าใจสภาพปัญหาและความต้องการใช้น้ำ สามารถสะท้อนแนวทางแก้ไขตามบริบทของพื้นที่ ซึ่งจะทำให้การบริหารจัดการและการแก้ไขปัญหาทรัพยากรน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และตรงต่อตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง นอกจากนี้ องค์กรผู้ใช้น้ำยังเป็นช่องทางสำคัญในการออกเสียง เสนอแนะ แสดงความคิดเห็น สะท้อนปัญหาที่แท้จริงจากพื้นที่ และนำเสนอโครงการต่าง ๆ อันเป็นประโยชน์ต่อชุมชนสู่คณะกรรมการลุ่มน้ำได้โดยตรง ตลอดจนร่วมกันหารือ แลกเปลี่ยนข้อมูล ไกล่เกลี่ย แก้ไขปัญหาร่วมกัน กรณีเกิดข้อขัดแย้งระหว่างพื้นที่ลุ่มน้ำ ซึ่งจะเป็นฟันเฟืองสำคัญที่จะช่วยให้การพัฒนาทรัพยากรน้ำของประเทศครอบคลุมในทุกมิติมากยิ่งขึ้น”
เลขาธิการ สทนช. กล่าว
การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในระดับต่อมาคือระดับลุ่มน้ำ โดยจะมีจัดตั้งคณะกรรมการลุ่มน้ำขึ้นมาบริหาร ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยมีทั้งหมด 22 ลุ่มน้ำ ประกอบด้วย ลุ่มน้ำสาละวิน ลุ่มน้ำปิง ลุ่มน้ำวัง ลุ่มน้ำยม ลุ่มน้ำน่าน ลุ่มน้ำโขงเหนือ ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลุ่มน้ำป่าสัก ลุ่มน้ำบางปะกง ลุ่มน้ำโตนเลสาบ ลุ่มน้ำแม่กลอง ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือลุ่มน้ำชี ลุ่มน้ำมูล ลุ่มน้ำสะแกกรัง ลุ่มน้ำท่าจีน ลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก ลุ่มน้ำเพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์ ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนบนลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนล่าง และลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตก
สำหรับคณะกรรมการลุ่มน้ำในแต่ละลุ่มน้ำนั้น จะประกอบด้วย กรรมการลุ่มน้ำโดยตำแหน่ง ได้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัดในเขตลุ่มน้ำนั้น และผู้แทนจากหน่วยภาครัฐ 13 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่หากเป็นลุ่มน้ำที่อยู่ในพื้นที่ชายแดนจะมีผู้แทนจากกระทรวงกลาโหม ส่วนลุ่มน้ำที่มีพื้นที่ติดชายฝั่งทะเลจะมีผู้แทนจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ลุ่มน้ำที่อยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะต้องมีผู้แทนจากศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)ร่วมเป็นกรรมการลุ่มน้ำนั้น ๆ ด้วย
นอกจากนี้ ยังต้องมีผู้แทนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จังหวัดละ 1 คน รวมทั้งผู้แทนจากองค์กรปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษอีก 1 คน กรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำ ที่มาจากภาคเกษตรกรรม 3 คน ภาคอุตสาหกรรม 3 คน และภาคพาณิชยกรรม 3 คน และกรรมการลุ่มน้ำผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรน้ำจำนวน 4 คน ร่วมเป็นกรรมการลุ่มน้ำด้วย
อย่างไรก็ตามในส่วนของกรรมการลุ่มน้ำผู้แทนจาก อปท. นั้น เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีผู้บริหาร อปท. ครบทั้ง 3 ประเภท ทั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกเทศมนตรี นายกองค์การบริหารส่วนตำบล และยังไม่มีประธานกรรมการลุ่มน้ำที่จะทำหน้าที่แต่งตั้งคณะกรรมการสรรหา กรรมการลุ่มน้ำผู้ทรงคุณวุฒิ ทำให้กรรมการลุ่มน้ำไม่ครบตามองค์ประกอบของกฎหมาย สทนช.จึงได้เสนอให้มีการแก้ไขกฎกระทรวงการได้มาซึ่งกรรมการลุ่มน้ำฯ เพื่อให้มีคณะกรรมการลุ่มน้ำประจำลุ่มน้ำชุดแรกเกิดขึ้นโดยเร็วโดยเปิดโอกาสให้ อปท. ใน 3 ประเภทข้างต้นที่มีผู้บริหารแล้วส่งรายชื่อผู้บริหาร จำนวน 1 คน เข้ารับการคัดเลือกเป็นคณะกรรมการลุ่มน้ำ และผู้ที่ได้รับคัดเลือกเป็นกรรมการลุ่มน้ำแล้วสามารถเป็นกรรมการลุ่มน้ำในลุ่มน้ำข้างเคียงได้ ถ้าเป็นพื้นที่ติดต่อกัน ทั้งนี้เพื่อแก้ปัญหาที่บางพื้นที่ยังมีผู้บริหาร อปท. ไม่ครบทั้ง 3 ประเภท
นอกจากนี้ สทนช. ยังได้เสนอให้เพิ่มเติมบทเฉพาะกาล เพื่อกำหนดบุคคลผู้มีอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยทรัพยากรน้ำ แต่งตั้งบุคคลทำหน้าที่คณะกรรมการสรรหาเพื่อดำเนินการสรรหากรรมการลุ่มน้ำผู้ทรงคุณวุฒิ จากเดิมที่ประธานคณะกรรมการลุ่มน้ำจะเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาเพื่อสรรหาคณะกรรมการลุ่มน้ำผู้ทรงคุณวุฒิ แต่เนื่องจากทุกลุ่มน้ำยังไม่มีประธานกรรมการลุ่มน้ำ จึงเสนอให้เลขาธิการ สทนช. ทำหน้าที่เป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาเพื่อดำเนินการสรรหากรรมการลุ่มน้ำผู้ทรงคุณวุฒิแทน
“สทนช. จะเร่งเดินหน้าจัดตั้งคณะกรรมการลุ่มน้ำให้ครบทั้ง 22 ลุ่มน้ำ ภายในเดือนกันยายน 2564 นี้” ดร.สมเกียรติ กล่าวยืนยัน
ส่วนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระดับสูงสุดคือ ระดับชาติ โดย คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) จะมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ และรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นรองประธานกรรมการ นอกจากนี้กรรมการโดยตำแหน่งจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง 9 คน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 4 คนและกรรมการผู้แทนคณะกรรมการลุ่มน้ำ 6 คน โดยมีเลขาธิการ สทนช. ปฏิบัติหน้าที่กรรมการและเลขานุการ และมีข้าราชการของ สทนช. ทำหน้าที่ผู้ช่วยเลขานุการอีกไม่เกิน 2 คน
“กนช. มีหน้าที่และอำนาจที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศในทุกมิติ อาทิ การจัดทำนโยบายและแผนแม่บทเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรน้ำที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ
เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ การพิจารณาและให้ความเห็นชอบในแผนปฏิบัติการของหน่วยงานของรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวกับทรัพยากรน้ำและแผนงบประมาณการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการให้สอดคล้องกับนโยบายและแผนแม่บทฯ รวมทั้งเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาในการจัดทำงบประมาณประจำปี การพิจารณาและให้ความเห็นชอบแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในเขตลุ่มน้ำต่างๆ ตามที่คณะกรรมการลุ่มน้ำเสนอ เป็นต้น” เลขาธิการ สทนช. กล่าว
สำหรับการคัดเลือกกรรมการผู้แทนคณะกรรมการลุ่มน้ำใน กนช.ทั้ง 6 คนนั้น ประธาน กนช. จะเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกจำนวน11 คน ซึ่งจะมีเลขาธิการ สทนช. เป็นประธานกรรมการคัดเลือก และจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 เพื่อให้ทันต่อกรอบการเสนอแผนงาน/โครงการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เนื่องจากกรรมการลุ่มน้ำจะมีบทบาทหน้าที่ที่สำคัญในการพิจารณาแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในระดับท้องถิ่นและมีส่วนร่วมในการให้ความคิดเห็นต่อแผนงาน/โครงการด้านพัฒนาแหล่งน้ำที่จะเสนอในปี 2566 ด้วย
“เดือนกุมภาพันธ์ 2565 จะเป็นจุดเริ่มต้นในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ ทั้ง 3 ระดับ คือระดับชาติ ระดับลุ่มน้ำ และระดับพื้นที่ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพครอบคลุมทุกมิติ สามารถแก้ปัญหาในพื้นที่ได้อย่างตรงจุดสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และอยู่บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอย่างแท้จริงรวมทั้งตอบสนองต่อการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ช่วยเสริมศักยภาพในการพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ ตรงตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561”ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการ สทนช. ฟันธง!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี