วันที่ 25 ก.ค. 2564 ตรงกับวันเข้าพรรษา ซึ่งตรงกับฤดูฝน และ “เทศกาลปลูกข้าวนาปี” ของชาวนาไทยซึ่งเปรียบเสมือน “กระดูกสันหลังของชาติ”ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ซึ่งเมล็ดพันธุ์ข้าว คือ “จุดกำเนิดแห่งชีวิต” และเป็นทรัพยากรซึ่งเป็น “แหล่งอาหารสำคัญ” ของมวลมนุษยชาติ ที่พึงอนุรักษ์เพื่อการสืบต่อสู่รุ่นลูกหลานอย่างยั่งยืน
ผศ.ดร.นพพล อรุณรัตน์ อาจารย์คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายถึงลักษณะการปลูกข้าวของชาวนาไทยว่า โดยทั่วไปมีอยู่ 2 แบบ คือ 1.ข้าวนาปี ซึ่งได้แก่ ข้าวหอมมะลิ 105 ที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวไทย และเป็นที่ชื่นชอบของทั่วโลก โดยมีการออกดอกตรงตามฤดูกาล เนื่องจากต้องการช่วงแสงจำเพาะเพื่อการออกดอก รวมถึงข้าวพันธุ์พื้นเมืองอื่นๆ ในประเทศไทยที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ และ 2.ข้าวนาปรัง ที่ปลูกได้ตลอดทั้งปี เป็นข้าวที่มีอายุการเก็บเกี่ยวที่แน่นอน สามารถให้ผลผลิตตามอายุ
ซึ่งการอนุรักษ์และพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าว เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้าง “ความมั่นคงทางอาหาร” ให้กับชุมชนซึ่งจะส่งผลให้ชุมชนมี “ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ” ต่อไปอีกด้วย โดยเมล็ดพันธุ์ข้าว
ที่ดี 1 เมล็ด เมื่อนำไปปลูกจะได้ต้นข้าว 1 กอ ที่แตกออกมาเป็น 20 ลำต้น โดยประมาณ ซึ่งแต่ละลำต้นจะออกรวงให้เมล็ดพันธุ์ข้าวอีกขั้นต่ำ 100-150 เมล็ดรวมข้าวทั้ง 20 ลำต้น จะได้เมล็ดพันธุ์ใหม่ถึง 2,000-3,000 เมล็ด
ผศ.ดร.นพพล กล่าวต่อไปว่า หากใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่ดีในการปลูก จะใช้เพียง 10-12 กิโลกรัมต่อ 1 ไร่ แต่หากนำเมล็ดพันธุ์ข้าวที่เก็บเกี่ยวจากการปลูกครั้งที่ผ่านมามาใช้โดยไม่ได้มีการคัดสรร อาจจำเป็นต้องใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า หรือประมาณ 25-30 กิโลกรัมต่อ 1 ไร่ จึงจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการเมล็ดพันธุ์ข้าวด้วยองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่เหมาะสมตามหลักการของ “เกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming)” โดยฝากความหวังไว้กับเกษตรกรรุ่นใหม่ (Young Smart Farmer) ซึ่งเติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยี
ที่ผ่านมา ตนได้นำทีมวิจัยลงพื้นที่ 4 จังหวัด คือ เชียงใหม่ พิจิตร ยโสธรและพัทลุง เพื่อดำเนินโครงการวิจัยการจัดการความรู้เพื่อการบริหารจัดการพันธุ์ข้าวและกระบวนการจัดการเครือข่ายของ Young Smart Farmer เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ หรือ SDGs Goal ข้อที่ 12 ที่ว่าด้วยการบริโภคและการผลิตอย่างรับผิดชอบ (Responsible Consumption and Production)
ซึ่งเป็นงานวิจัยเด่นที่เป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจในฐานะที่เป็น “ปัญญาของแผ่นดิน”ของมหาวิทยาลัยมหิดล ที่ทำหน้าที่มอบองค์ความรู้ให้กับเกษตรกรรุ่นใหม่ให้สามารถบริหารจัดการและอนุรักษ์เมล็ดพันธุ์ข้าวของท้องถิ่นได้อย่างครบวงจร ตั้งแต่การปลูกการเก็บเกี่ยว รวมทั้งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อพึ่งพาซึ่งกันและกันซึ่งจะเป็นการสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนให้กับชุมชนต่อไป
“ทีมวิจัยได้จัดทำคู่มือเพื่อการบริหารจัดการเมล็ดพันธุ์ข้าว ที่พร้อมด้วยองค์ความรู้เพื่อการประยุกต์ใช้ โดยได้รวบรวมพันธุ์ข้าวที่นิยมปลูกในแต่ละพื้นที่ ลักษณะการเจริญเติบโตขั้นตอนการดูแล ซึ่งสอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศ และสภาพภูมิอากาศในพื้นที่นั้นๆ ฯลฯ โดยหวังให้เกษตรกรรุ่นใหม่สามารถนำเอาองค์ความรู้ไปต่อยอดให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ ด้วยความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมต่อไป” ผศ.ดร.นพพล กล่าว
ผศ.ดร.นพพล กล่าวทิ้งท้ายว่าสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดจากการรวมกลุ่มเพื่อนเกษตรกรเพื่อร่วมแบ่งปันทรัพยากร คือ การลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งในเรื่อง Carbon Footprint หรือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก และ Water Footprint หรือ ตัวชี้วัดปริมาณการใช้น้ำ นอกเหนือจากผลผลิตที่ได้จากเมล็ดพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพ ทั้งนี้ ข้าว 1 เมล็ดที่ผลิตได้ จะต้องช่วยให้เพื่อนชาวนามีผลผลิตที่ดี มีรายได้ที่ดี และมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ ด้วยความสมดุลกันระหว่างสิ่งแวดล้อม สังคม และชุมชนจึงจะเป็นการบริโภคและการผลิตอย่างยั่งยืน
มหาวิทยาลัยมหิดล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี