วันพฤหัสบดี ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ในประเทศ
สภานโยบายการอุดมศึกษาฯ เร่งสนับสนุนวิจัยเตรียมพร้อมผลิตวัคซีนโควิดสัญชาติไทย

สภานโยบายการอุดมศึกษาฯ เร่งสนับสนุนวิจัยเตรียมพร้อมผลิตวัคซีนโควิดสัญชาติไทย

วันอังคาร ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2564, 15.47 น.
Tag : สภานโยบายการอุดมศึกษาฯ วัคซีนโควิด 19
  •  

สภานโยบายการอุดมศึกษาฯ เร่งสนับสนุนวิจัยเตรียมพร้อมผลิตวัคซีนโควิด 19 สัญชาติไทย พร้อมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่อยอดผลิตยาและสมุนไพรเพื่อความมั่นคงทางสาธารณสุข

20 ก.ค.64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุม สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2564 ผ่านระบบการประชุมออนไลน์ ตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พร้อมด้วย ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และศาสตราจารย์พิเศษ ดร. เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)เป็นรองประธาน


ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ในฐานะกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการสภานโยบายฯ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รองนายกรัฐมนตรีดอนฯ ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ด้วยการเชื่อมโยงกับการทำงานของกระทรวง อว. โดยเฉพาะการผลิตวัคซีน และยารักษาโรคโควิด-19 ของไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความเร่งด่วนและสำคัญต่อความมั่นคงด้านสาธารณสุขของประเทศและชีวิตของประชาชน ขณะนี้มีโครงการพัฒนาวัคซีนของไทยเองกว่า 20 ชนิด หลายโครงการมีความคืบหน้ามาก เช่น โครงการของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (mRNA) อยู่ระหว่างการทดลองในมนุษย์ และโครงการของคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Protein Subunit) กำลังจะทดลองในมนุษย์ และในสถาบันวิจัยอีกหลายแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล สภากาชาดไทย องค์การเภสัชกรรม และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ อว. นำข้อคิดเห็นของที่ประชุมไปดำเนินการ พร้อมกำชับให้ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญในเรื่องนี้ เพื่อช่วยแก้ไขวิกฤตของชาติให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยกัน

นอกจากนี้สิ่งที่ประเทศไทยต้องเตรียมพร้อมคือเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานในด้านฐานการผลิต ต้องมีการเตรียมการตั้งแต่วันนี้ ไม่ให้กระบวนการผลิตล่าช้า ซึ่งฐานการผลิตนี้ไม่เพียงแต่ใช้รองรับการผลิตวัคซีน mRNA หรือ Protein Subunit เท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นฐานการผลิตที่จะรองรับการผลิตวัคซีนหรือยาชนิดอื่นในอนาคตได้ ซึ่งในปัจจุบันมีสมุนไพรหลายชนิดที่สามารถนำไปวิจัยและพัฒนาเพื่อต่อยอดในการผลิตยาได้ อาทิเช่น ฟ้าทลายโจร กระชายขาว ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องเข้าไปศึกษาถึงโอกาสในการผลิตยาเหล่านี้ให้มีความชัดเจนขึ้น เพื่อประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนในประเทศ อีกส่วนที่สำคัญคือการการพัฒนาบุคลากร เนื่องจากการผลิตวัคซีนหรือยาในรูปแบบใหม่อาจเป็นเรื่องที่บุคลากรในประเทศยังไม่คุ้นเคย จึงต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถพร้อมที่จะเข้าไปทำ 

สำหรับความก้าวหน้าวาระแห่งชาติการพัฒนาเศรษฐกิจ Bio-Circular-Green Economy หรือ BCG Economy Model ดร.กิติพงค์ กล่าวว่า เป็นอีกประเด็นที่รองนายกรัฐมนตรีดอนฯ เน้นย้ำให้ทุกส่วนร่วมกันดำเนินการอย่างเต็มที่ ซึ่งการขับเคลื่อนเรื่องนี้ต้องเดินคู่กันสองมิติ ทั้งในด้านการดูแลรับผิดชอบตามภารกิจของแต่ละหน่วยงาน และในมุมการมองบีซีจีเป็นเอกภาพ เป็น 3 ส่วนที่ผนึกเข้าด้วยกัน ในขณะเดียวกันต้องให้ความสำคัญในการเชื่อมโยงกับต่างประเทศ ตอบโจทย์ในระดับสากล เนื่องจากในปัจจุบันผู้นำระดับโลกให้ความสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ ต้องมีแนวทางสร้างความตระหนักในเรื่องนี้ สร้างการรับรู้ตั้งแต่ระดับชุมชน เยาวชน สังคม และต้องไม่ลืมคำนึงถึงความยั่งยืนด้วย

นอกจากนี้สภานโยบายฯ ยังได้มีมติเห็นชอบต่อ (ร่าง) กรอบนโยบายและยุทธศาสตร์ อววน. พ.ศ. 2566 – 2570 โดย (ร่าง) กรอบนโยบายฯ ดังกล่าว จะเป็นการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์หลักครั้งสำคัญของประเทศด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยประกอบด้วย 6 จุดมุ่งเน้นของนโยบาย ดังนี้ (1) ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง โดยใช้การพัฒนาตลอดห่วงโซ่คุณค่า (2) ประเทศไทยเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวโดยใช้แนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ มุ่งเน้นคุณค่าและความยั่งยืน สามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและการกระจายรายได้ (3) ประเทศไทยเป็นประเทศชั้นนำด้านสินค้าเกษตร เกษตรแปรรูป และอาหารที่มีคุณค่าและมูลค่าสูง โดยมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงเป็นอันดับ 1 ใน 10 ของโลก (4) ผู้สูงอายุมีศักยภาพและโอกาสอย่างเต็มที่ในการพึ่งตนเอง มีคุณค่าและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สังคม เพื่อรองรับสังคมสูงวัย (5) ประเทศไทยสามารถพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ก้าวหน้า ล้ำยุคสู่อนาคต สำหรับการยกระดับอุตสาหกรรม ธุรกิจ และการบริการที่มีอยู่แล้ว และพัฒนาอุตสาหกรรม/ธุรกิจใหม่ และ (6) ประเทศไทยสามารถสร้างกำลังคนสมรรถนะสูงและเป็นศูนย์กลางกำลังคนระดับสูงของอาเซียน โดยการพลิกโฉมระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาแห่งอนาคต และสอดรับกับปรัชญาการอุดมศึกษาไทย

ที่ประชุมยังได้เห็นชอบต่อ หลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีการ และกลไกการจัดการศึกษาที่แตกต่างจากมาตรฐานการอุดมศึกษา (Higher Education  Sandbox) เพื่อนำไปจัดทำประกาศสภานโยบายฯ พร้อมแต่งตั้งคณะกรรมการพิเศษเฉพาะเรื่อง ด้านการส่งเสริมนวัตกรรมการอุดมศึกษาเพื่อปฏิบัติหน้าที่แทนสภานโยบายฯ และให้นำเรื่องหลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีการ และกลไกการจัดการศึกษาที่แตกต่างจากมาตรฐานการอุดมศึกษา เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป

“ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับรูปแบบการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา จากกระแสการเปลี่ยนแปลงและประเด็นอุบัติใหม่ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี และวิถีชีวิต ที่มีนัยต่อบทบาทและแนวทางการพัฒนากำลังคนของสถาบันอุดมศึกษาที่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนให้ทันกับกระแสดังกล่าว เพื่อให้ประเทศไทยมีกำลังคนทั้งด้านปริมาณและคุณภาพที่เพียงพอและสามารถตอบโจทย์การพัฒนาประเทศในมิติต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที โดยตัวอย่างมาตรฐานการอุดมศึกษาที่เป็นข้อจำกัดในการพัฒนานวัตกรรมการอุดมศึกษา เช่น การจำกัดจำนวนหน่วยกิตในการเทียบโอนเข้าสู่การศึกษาในระบบซึ่งขัดต่อการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตและระบบคลังหน่วยกิต การกำหนดคุณสมบัติของผู้สอนและผู้รับผิดชอบหลักสูตร และการจำกัดจำนวนชั่วโมงสอนของอาจารย์พิเศษ ซึ่งจะไม่เอื้อต่อการเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้การผลิตกำลังคนให้ตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรม เป็นต้น” ดร.กิติพงค์ กล่าว

ทั้งนี้หลักเกณฑ์การจัดการศึกษาที่แตกต่างจากมาตรฐานการอุดมศึกษา ที่ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุม มีกลุ่มเป้าหมาย คือ สถาบันอุดมศึกษา หรือสถาบันการศึกษาอื่นทั้งภาครัฐและเอกชนที่จัดการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษาที่ต้องดำเนินการภายใต้มาตรฐานการอุดมศึกษา และเป็นการจัดการศึกษาเพื่อนำไปสู่การให้ปริญญา ทั้งระดับอนุปริญญา ปริญญาตรี และบัณฑิตศึกษา รวมถึงการจัดการศึกษาที่ไม่มุ่งปริญญา แต่สามารถเทียบโอนเพื่อนำไปสู่การให้ปริญญาในภายหลังได้ และประเด็นสำคัญคือต้องผลิตบัณฑิตที่ตอบโจทย์นโยบายหรือยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ อย่างไรก็ตาม กระทรวง อว. กำลังดำเนินการปรับปรุงมาตรฐานการอุดมศึกษาเพื่อให้เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรมการผลิตบัณฑิตมากขึ้น ซึ่งจะมีผลกับสถาบันอุดมศึกษาทุกแห่งต่อไป

ในส่วนการช่วยเหลือเอสเอ็มอี ได้มีการรายงานให้ที่ประชุมทราบถึงความก้าวหน้าในการจัดตั้ง “มูลนิธิกองทุนนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรม” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนเอสเอ็มอี ในการพัฒนาหรือประยุกต์ใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถศักยภาพในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยทั้งในระดับภูมิภาคจนถึงระดับชาติ ตลอดจนสร้างโอกาสทางการแข่งขันให้ภาคอุตสาหกรรมเข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้จะดำเนินการในลักษณะกองทุนจากเอกชนเพื่อช่วยเอกชน โดยการระดมเงินทุนจากการบริจาคของธุรกิจขนาดใหญ่ จำนวนไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท และภาครัฐจะมีการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กองทุน ววน.) ในระยะ 3 ปีแรก ในอัตราส่วน 50 : 50 ซึ่งจะสนับสนุนเมื่อภาคเอกชนได้สนับสนุนงบประมาณเข้ากองทุนนวัตกรรมแล้ว นอกจากนี้ สำหรับบริษัทที่บริจาคเงินเข้ากองทุน จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เพื่อให้สามารถนำไปหักค่าใช้จ่ายได้ไม่ต่ำกว่า 2 เท่า ระยะเวลา 3 ปี 

นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้เห็นชอบต่อนโยบายและแนวทางการขับเคลื่อนการบริหารจัดการทุนพัฒนากำลังคนการอุดมศึกษาเพื่อพัฒนาประเทศ โดยนโยบายดังกล่าว จะช่วยให้ทิศทางการจัดการทุนพัฒนากำลังคนอุดมศึกษาของประเทศมีเอกภาพและการบริหารจัดการมีประสิทธิภาพสูงขึ้น มีการกำหนดทิศทางการจัดสรรทุนที่ชัดเจนเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลง และความต้องการของประเทศได้อย่างทันเวลา ผ่านการคำนึงถึงการให้ทุนที่ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ รวมถึงการใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้และทักษะความสามารถจากผู้รับทุน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  

Breaking News

'วัส ติงสมิตร'ชี้'หมอ-พยาบาล-จนท.ราชทัณฑ์'ไม่รอด เตรียมรับวิบากกรรม ป่วยทิพย์ชั้น 14

นักธุรกิจการเมืองทำรัฐล้มเหลว! 'สมชาย'ชี้คอร์รัปชันเชิงนโยบาย บ่อนทำลายพลังอำนาจแห่งชาติ

'สมเด็จพระสังฆราช'ประทานพระคติธรรม เนื่องในวันอาสาฬหบูชา

'สมเด็จฮุน เซน'กลัวมากถ้า'คนไทย'จะรักตนเอง แซะเจ็บไทยควรโฟกัสผู้นำตัวเองดีกว่า

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved