ในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา กรมหม่อนไหมถูกนำมากล่าวถึงในโลกออนไลน์อยู่พอสมควร กรณีมีนักการเมืองท่านหนึ่งตั้งคำถามถึงงบประมาณที่ถูกจัดสรรให้กรมหม่อนไหม 560 ล้านบาท ว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ ทำให้มีผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการหม่อนไหมทั้งเกษตรกรผู้ประการออกมาแสดงความคิดเห็นกันมากมายซึ่ง ขุนเกษตรา ขออนุญาตไม่แสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ในฐานะอยู่ในแวดวงเดียวกัน คุ้นเคยกันดี ก็มองว่า ตั้งแต่กำเนิดกรมหม่อนไหมมา 11 ปีและกำลังจะก้าวสู่ปีที่ 12 กรมหม่อนไหม ก็ทำหน้าที่ดูแลภารกิจด้านหม่อนไหมของประเทศได้ในหลายมิติส่งผลให้เกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมในหลายพื้นที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอยู่ไม่น้อย โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ยังได้จัดพิธีลงนามข้อตกลงซื้อขายรังไหมอุตสาหกรรมระบบเกษตรพันธสัญญาผ่านระบบออนไลน์ ระหว่างกลุ่มเกษตรกรปลูกหม่อนเลี้ยงไหมอุตสาหกรรม จ.น่าน เชียงราย พะเยา และบริษัท จุลไหมไทย จำกัด ซึ่งนายปราโมทย์ ยาใจ อธิบดีกรมหม่อนไหม บอกว่า ในพื้นที่จังหวัดน่าน เชียงราย พะเยา มีเกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมอุตสาหกรรม จำนวน 353 ราย โดยปีพ.ศ.2563 มีผลผลิตรังไหมรวม 54,514 กิโลกรัม คิดเป็นรายได้ 8,196,039 บาท ส่วนในปีพ.ศ.2564 มีแผนการเลี้ยงไหม จำนวน 10 รุ่น คาดการณ์จะได้ผลผลิตรังไหม จำนวน 75 ตัน และสามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรได้มากกว่า 12 ล้านบาท ซึ่งกรมหม่อนไหมได้ไปส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มในการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมอุตสาหกรรมตามนโยบาย “ตลาดนำการผลิต” ของดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เนื่องจากสถานการณ์การขาดแคลนรังไหมและเส้นไหมในตลาดโลกมีมากขึ้น เพราะประเทศจีนซึ่งเป็นผู้ผลิตเส้นไหมรายใหญ่ของโลกได้ลดปริมาณการผลิตลง ทำให้ราคารังไหมและเส้นไหมในตลาดโลกขยับสูงขึ้น และปัจจุบันภาคเอกชนของไทย คือบริษัท จุลไหมไทย จำกัด มีความต้องการรังไหมเพื่อผลิตเส้นไหมปีละ 5,000 ตัน แต่เกษตรกรสามารถผลิตได้เพียงปีละ 2,000 ตัน ดังนั้นเพื่อเป็นการขยายการผลิตตามความต้องการของตลาด กรมหม่อนไหมและบริษัท จุลไหมไทยฯ จึงเร่งสร้างเกษตรกรให้เข้าสู่ระบบการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมอุตสาหกรรมมากขึ้น โดยได้กำหนดเป้าหมาย และส่งเสริมกิจกรรมการฝึกอบรมให้ความรู้แบบครบวงจร สนับสนุนปัจจัยการผลิตที่จำเป็น รวมทั้งสร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มเกษตรกร และได้ขยายผลสู่การทำข้อตกลงเกษตรพันธสัญญา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการแข่งขัน ลดความเสี่ยงด้านการตลาด และเกิดความเป็นธรรมทั้งผู้ประกอบการและเกษตรกร โดยท่านอธิบดีกรมหม่อนไหม ยังย้ำด้วยว่า การลงนามข้อตกลงเกษตรพันธสัญญาในการซื้อขายรังไหมอุตสาหกรรม ถือเป็นการสร้างความมั่นคงทั้งด้านอาชีพและรายได้ให้กับเกษตรกร รวมทั้งสามารถลดการนำเข้าเส้นไหมจากต่างประเทศ ช่วยแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อันจะเป็นการร่วมกันพัฒนาวงการหม่อนไหมไทยให้เจริญรุ่งเรือง และก้าวไปสู่การเป็นผู้นำในการผลิตเส้นไหมในอันดับต้นๆ ของโลก…
นับว่าเป็นอีกกิจกรรมหนึ่ง ที่กรมหม่อนไหมจัดขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้เกษตรกรได้พบกับผู้ประกอบการโดยตรง โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ยังไม่สงบ เพื่อให้ทุกฝ่ายผ่านวิกฤติไปได้
ขุนเกษตรา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี