นับตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา รัฐบาลและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สนับสนุนให้เกษตรอินทรีย์เป็นวาระแห่งชาติ พร้อมทั้งกำหนดแผนปฏิบัติการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ 2560-2565 โดยมีเป้าหมายพื้นที่เกษตรอินทรีย์ไม่น้อยกว่า 1.3 ล้านไร่ เกษตรกรร่วมโครงการไม่น้อยกว่า 80,000 ราย ซึ่งในส่วนการขับเคลื่อนของกรมพัฒนาที่ดิน ได้มีนวัตกรรมสนับสนุนการผลิตระบบเกษตรอินทรีย์ ตั้งแต่การจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรที่มีความพร้อมเข้าสู่กระบวนการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ การถ่ายทอดองค์ความรู้ การขับเคลื่อนกระบวนการรับรองแบบมีส่วนร่วม PGS ให้กับกลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ
นายพิชิต ชูมณี หมอดินอาสาประจำตำบลปกาสัย อำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ ผู้ได้รับรางวัล รองชนะเลิศอันดับ 1 หมอดินอาสาดีเด่น กรมพัฒนาที่ดิน ประจำปี 2564 และเป็นหนึ่งในเกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์ในรูปแบบระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม (PGS) เล่าให้ฟังว่าเริ่มทำอาชีพเกษตรกรรม เมื่อปี 2540 โดยพัฒนาพื้นที่นาร้าง ซึ่งเป็นชุดดินสายบุรีที่เป็นดินเหนียว (Bu-f) กลุ่มชุดดินที่ 6 ที่มักจะพบปัญหาดินเหนียวจัด ดินมีความเป็นกรด ความอุดมสมบูรณ์ต่ำ โดยมีกรมพัฒนาที่ดินแนะนำให้ปรับปรุงบำรุงดินด้วยโดโลไมท์ มาหว่านในแปลงปีละ 1 ครั้ง เพื่อแก้ปัญหาดินกรด และปรับปรุงบำรุงดินโดยปลูกปอเทืองเป็นพืชปุ๋ยสดแล้วไถกลบ พร้อมกับนำผลิตภัณฑ์ของกรมพัฒนาที่ดิน เช่น สารเร่งซุปเปอร์ พด.1 มาผลิตปุ๋ยหมักจากทะลายปาล์มน้ำมัน มูลสัตว์ รำข้าว แกลบ ใช้สารเร่งซุปเปอร์ พด.2 ผลิตน้ำหมักชีวภาพจากปลา และนมสดที่หมดอายุ ใช้สารเร่งซุปเปอร์ พด.7 ผลิตสารป้องกันแมลงศัตรูพืชจากพืชสมุนไพร เป็นต้น และได้จัดระบบการทำเกษตรใหม่ โดยแบ่งพื้นที่ทั้งหมด 12 ไร่ เป็นที่อยู่อาศัย 1 ไร่ปลูกข้าว 3 ไร่ ปลูกพืชผสมผสานประเภทไม้ผล เช่น กระท้อน ทุเรียน มะพร้าว ไม้เศรษฐกิจ หมาก พืชสมุนไพร และเลี้ยงสัตว์ จำนวน 3 ไร่ สร้างแหล่งน้ำ 3.5 ไร่ สร้างโรงเรือนปลูกผักขนาดเล็กกว้าง 2.3 เมตร ยาว 12 เมตร จำนวน 10 โรงเรือนในพื้นที่ 1.5 ไร่ โดยแยกเป็นโรงเรือนสำหรับปลูกผักจำนวน 6 โรงเรือน ใน 1 โรงเรือนจะปลูกผัก 8 ชนิด ประกอบไปด้วยผักสลัด 4 ชนิด คือ กรีนโอ๊คเรดโอ๊ค ฟิเล่ย์ บัตเตอร์เฮด ส่วนอีกด้านหนึ่งของโรงเรือนปลูกผักใบ 4 ชนิด คือ กวางตุ้ง ผักกาดขาว ฮ่องเต้ และคะน้า ในแต่ละโรงเรือนจะปลูกห่างกัน 1 อาทิตย์เพื่อให้ผักโต และเก็บผลผลิตออกจำหน่ายได้ตลอด ส่วนอีก 4 โรงเรือนแบ่งเป็นปลูกเมล่อน องุ่น ผักกูด และผักใบที่มีอายุนาน เป็นต้น ซึ่งแต่เดิมจะต้องนำผลผลิตไปจำหน่ายในตลาดเกษตรกรหรือตลาดในท้องถิ่น แต่ในปัจจุบัน ผลผลิตจากสวนเป็นที่รู้จักและได้รับความเชื่อมั่นจากผู้บริโภค จึงมีลูกค้ามาซื้อผักถึงที่บ้านมากขึ้น
นอกจากนี้ นายพิชิต ยังได้คิดค้นนวัตกรรมการทำเกษตรในรูปแบบที่ง่าย ประหยัด เหมาะสำหรับเกษตรกรรายย่อย เช่น การผลิตข้าวคุณธรรมในแปลงนาแบบใช้น้ำน้อยในบ่อซีเมนต์ร่วมกับปุ๋ยหมักและ น้ำหมักชีวภาพ ระบบการเลี้ยงปลาดุกในบ่อดิน บ่อพลาสติกและบ่อซีเมนต์ ซึ่งเป็นรูปแบบการเลี้ยงที่ประหยัดเหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นที่น้อยเลี้ยงเพียง 500 ตัวต่อบ่อในระยะเวลา 3-4 เดือน ก็สามารถจับมาบริโภคหรือจำหน่ายได้ในราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 50 บาทและยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นปลาดุกร้า ปลาดุกแดดเดียวเพื่อเพิ่มมูลค่าได้อีกทางหนึ่งด้วย นอกจากนี้ ยังได้คิดค้นนวัตกรรมที่เรียกว่าซุ้มเศรษฐกิจพอเพียงที่มีการรวมกิจกรรมทางการเกษตรทั้งพืช สัตว์ ประมงไว้ในซุ้มเดียวกัน ทุกกิจกรรมเกื้อกูลกัน ซึ่งนอกจากจะทำให้มีอาหารไว้บริโภคในครัวเรือนแล้ว ยังก่อให้เกิดรายได้ทั้งรายวัน รายเดือนอีกด้วย
นายพิชิตกล่าวอีกว่า ในปี 2562 ได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการการทำเกษตรอินทรีย์ในรูปแบบระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม (PGS) ที่สนับสนุนโดยกรมพัฒนาที่ดิน ซึ่งเป็นระบบการตรวจรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วมที่ มีความน่าเชื่อถือ แม้ว่าจะเป็นระบบที่ตรวจรับรองกันเอง แต่ในขั้นตอนการตรวจรับรองจะมีทุกภาคส่วนที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้แก่ เกษตรกรผู้ผลิต ผู้ประกอบการนักวิชาการจากหน่วยงานรัฐ เข้าร่วมตรวจสอบระบบการผลิตในทุกขั้นตอนได้อย่างโปร่งใส บนพื้นฐานของความไว้วางใจซึ่งกันและกันของสมาชิกในกลุ่ม และสร้างการเรียนรู้ร่วมกัน แล้วเกิดการขยายผลที่มีประสิทธิภาพ เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืน ซึ่งในจังหวัดกระบี่ได้มีการรวบรวมสมาชิกที่ทำเกษตรอินทรีย์ 100% ประมาณ 10 กว่าราย เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน มีการหมุนเวียนไปตรวจเยี่ยมแปลงของสมาชิกแต่ละราย โดยมีเจ้าหน้าที่กรมพัฒนาที่ดินร่วมเป็นพี่เลี้ยงและมอบองค์ความรู้ พร้อมทั้งแนะนำข้อปฏิบัติต่างๆที่ถูกต้องตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ เป็นต้น
“สิ่งที่ได้จากการทำเกษตรอินทรีย์ระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม (PGS) นอกจากได้รับองค์ความรู้ที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนประสบสบการณ์จากสมาชิกที่ทำเกษตรอินทรีย์ด้วยกันแล้ว คือ เรื่องของสุขภาพทั้งของตัวเอง ครอบครัว และผู้บริโภค ที่สำคัญผลผลิตจากสวนจะมีความสดใหม่ สะอาด และได้รับความเชื่อถือจากผู้บริโภค มีผลผลิตเท่าไหร่ก็ไม่พอขาย และขายได้ราคาดี มีรายได้ต่อเนื่อง มั่นคง เฉลี่ย 300,000 กว่าบาทต่อปี ในขณะที่รายจ่ายลดลง ทำให้เราสามารถพึ่งพาตัวเองได้”นายพิชิต กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับเกษตรกรท่านใดที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อผ่านช่องทาง AI Chatbot กรมพัฒนาที่ดินคุยกับน้องดินดี ได้ที่ทาง LINE Official เพิ่มน้องดินดีเป็นเพื่อนจาก ID : @dindee หรือเกษตรกรท่านใดสนใจทำการผลิตเกษตรกรอินทรีย์ กรมพัฒนาที่ดินพร้อมให้การสนับสนุน สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สถานีพัฒนาที่ดินทุกจังหวัดทั่วประเทศ และเว็บไซต์กรมพัฒนาที่ดิน ไอคอนการรับรองเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม (https://www.ldd.go.th/Web_PGS/index.html) หรือโทร.0-2579-4194 สายด่วน 1760
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี