สธ.ชี้เวลาทอง2สัปดาห์
กู้วิกฤติโควิด
ขอปชช.เข้มล็อกดาวน์
ศบค.ย้ำซีลรง.-แคมป์ก่อสร้าง
งดเคลื่อนย้ายเดินทางข้ามจว.
ปัดฝุ่นอยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ
ติดโควิดพุ่ง17,970-ตาย178
ไทยติดโควิดแรงไม่ตกวันเดียว 17,970 ราย เสียชีวิต 178 ศพ ดับคาบ้าน 5 ศพ หายป่วยเพิ่ม 13,919 ราย อยู่ระหว่างรักษา 208,875 ราย อาการหนัก 4,768 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 1,028 ราย ศบค.ย้ำใช้มาตรการบับเบิล แอนด์ ซีล โรงงานแคมป์คนงาน งดเคลื่อนย้าย เตือนปชช.ใช้ถังออกซิเจนที่บ้านระวัง เพราะเป็นวัตถุไวไฟ ย้ำ ATK เป็นอุปกรณ์การแพทย์ ห้ามขายออนไลน์-ตลาดนัด รัฐบาลเร่งเพิ่มคลินิกเอกชนร่วมระบบดูแลผู้ป่วยแบบแยกตัวที่บ้าน ช่วยกระจายยาให้เร็วขึ้น สธ.ขอความร่วมมือเพิ่มความเข้มข้นมาตรการล็อคดาวน์อีก 2 สัปดาห์ หากประสิทธิภาพล็อกดาวน์เพิ่มอีก 5% จะช่วยลดติดเชื้อ ป่วยหนัก เสียชีวิตลงมาในระดับควบคุมได้ ปัดฝุ่นสโลแกน อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ ชี้ 2 สัปดาห์เป็นเวลาทองกู้วิกฤติโควิด
เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค. แถลงสถานการณ์ผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตประจำวันที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ไทยติดเชื้ออีก17,970-โคมา4,768คน
วันเดียวกันนี้ ไทยพบผู้ติดเชื้อใหม่ 17,970 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 17,784 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 13,567 ราย มาจากการค้นหาเชิงรุก 4,217 ราย มาจากเรือนจำ 175 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 11 ราย ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสม 633,284 ราย หายป่วยเพิ่ม 13,919 ราย หายป่วยสะสม 419,241 ราย อยู่ระหว่างรักษา 208,875 ราย อาการหนัก 4,768 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 1,028 ราย
ตาย178กทม.มากสุดดับคาบ้าน5
ส่วนผู้เสียชีวิตมีเพิ่มขึ้น 178 ราย เป็นชาย 94 ราย หญิง 84 ราย อยู่ในกรุงเทพมหานคร (กทม.) มากที่สุด 68 ราย รองลงมา จ.สมุทรปราการ 23 ราย และนครราชสีมา 10 ราย โดยมีผู้เสียชีวิตที่บ้าน 5 ราย อยู่ใน กทม. 2 ราย ปทุมธานี ร้อยเอ็ด สุพรรณบุรีจังหวัดละ 1 ราย ทำให้ขณะนี้มียอดผู้เสียชีวิตสะสม 5,168 ราย ส่วนยอดผู้ได้รับวัคซีนของประเทศไทย วันที่ 1 สิงหาคม 180,552 โดส ทำให้มียอดฉีดวัคซีนสะสม 17,866,526 โดส
ไทยติดอันดับ42โลก
ขณะที่สถานการณ์โลก มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 199,013,612 ราย เสียชีวิตสะสม 4,240,371 ราย ไทยขยับขึ้นมาอยู่อันดับที่ 42 ทั้งนี้ หากดูจากข้อมูลจะพบว่าประเทศที่ฉีดวัคซีนไปจำนวนมาก แม้จะมีผู้ติดเชื้อมาก แต่อัตราการเสียชีวิตน้อย เช่น อังกฤษ วันนี้ติดเชื้อ 24,470 ราย แต่มีผู้เสียชีวิต 65 ราย นอกจากนี้ หากดูอัตราการป่วยต่อประชากร 1 ล้านคน และอัตราการเสียชีวิตต่อประชากร 1 ล้านคน ของประเทศไทย ยังถือว่าน้อยกว่าประเทศต่างๆ ทั้งสหรัฐอเมริกา อังกฤษ อินเดีย มาเลเซีย อินโดนีเซีย
ย้ำซีลรง.-แคมป์ก่อสร้างงดเคลื่อนย้าย
พญ.อภิสมัยกล่าวต่อว่า เป้าหมายการควบคุมโรคในพื้นที่เฉพาะ เช่น โรงงาน แคมป์ก่อสร้าง บริษัท ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดหรือสีแดงเข้ม ไม่ใช่เฉพาะพื้นที่ที่มีการระบาดแล้ว แต่รวมไปถึงพื้นที่ที่ยังไม่ระบาดเป็นคลัสเตอร์ต้องจัดการทำงานแบบบับเบิ้ล แอนด์ ซีล อย่างเข้มงวด เพื่อลดการติดเชื้อและลดการระบาดไปยังชุมชน ไม่ใช่ว่าเปิดไม่ได้ แต่มีเงื่อนไข สำหรับพื้นที่เหล่านั้นหากมีพนักงานอยู่หลายฝ่ายให้จัดกันเป็นกลุ่ม ไม่ให้ปะปนกัน แยกพื้นที่รับประทานอาหาร สถานประกอบการใดสามารถจัดหาที่พักให้คนงานได้ให้ซีลแรงงานไว้ แต่บางโรงงานที่แรงงานยังต้องเดินทาง ขอร่วมมือบริษัทศึกษาแนวทางปฏิบัติโดยละเอียด ตรงนี้กระทรวงสาธารณสุขเป็นห่วง บางบริษัทที่มีคนงานจำนวนมากอาจทำตามมาตรการไม่ได้ ให้ขอความช่วยเหลือหน่วยงานในพื้นที่ ทั้งจังหวัด คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด ทุกฝ่ายพร้อมให้การช่วยเหลือ และเน้นย้ำการซีลแรงงานต้องดูแลเรื่องอาหาร เครื่องนุ่มห่ม และเครื่องใช้ประจำตัว เพื่อให้ 14 วันนี้แรงงานจะได้ไม่ต้องไปปะปนในชุมชน หากโรงงานใดมีบริบทที่แตกต่างให้ปรึกษาคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เพื่อสามารถปรับมาตรการตามความเหมาะสมได้
เตือนปชช.ระวังใช้ถังออกซิเจนไวไฟ
พญ.อภิสมัยกล่าวอีกว่า สำหรับข้อบังคับที่ห้ามรถบรรทุกหกล้อใช้เส้นทางบางสายนั้น ที่ประชุม ศบค.วันที่ 1 สิงหาคม ยกเว้นให้กับรถบรรทุกหกล้อที่ขนส่งก๊าซทางการแพทย์ โดยให้ใช้ช่องทางพิเศษได้ รวมถึงให้วิ่งในเวลาที่กฎหมายปกติห้ามในช่วงการจราจรคับคั่ง ซึ่งการทางพิเศษและตำรวจจะคอยอำนวยความสะดวก นอกจากนี้ ศบค.ชุดเล็กยังเป็นห่วงกรณีเอกชนบริจาคถังออกซิเจนให้ประชาชนแล้วต้องมีการนำไปพักรอจัดส่งจำนวนมาก ออกซิเจนดังกล่าวเป็นวัตถุไวไฟที่อาจเกิดอันตรายได้ ขอให้ระมัดระวัง รวมถึงประชาชนที่นำไปใช้ที่บ้าน ขอให้ศึกษารายละเอียดวิธีใช้และการจัดเก็บเพื่อความปลอดภัยด้วย
ย้ำงดเดินทางข้ามจว.แดงเข้ม14วัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า การขยายเวลาล็อคดาวน์ครั้งนี้จะถึงวันที่ 31 สิงหาคมใช่หรือไม่ พญ.อภิสมัยกล่าวว่า ข้อกำหนดฉบับที่ 30 ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้วันที่ 3 สิงหาคม ให้มีผลถึงวันที่ 31 สิงหาคม โดยเมื่อข้อกำหนดมีผลแล้ว ศบค.จะติดตามผลในระยะ 2 สัปดาห์ต่อจากนี้คือ วันที่ 18 สิงหาคม หากผลออกมาดี ข้อกำหนดอาจผ่อนคลายได้ แต่ถ้าสถานการณ์ไม่ดีขึ้น ก็ยืดไปถึง 31 สิงหาคม อย่างไรก็ตาม 14 วันหลังจากนี้ หากประชาชนจำเป็นต้องเดินทางข้ามเขตจังหวัดสีแดงเข้ม เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องดูหลักฐานอนุญาตการเดินทาง ดังนั้น หากไม่จำเป็นขอให้ประชาชนงดเว้นเดินทางช่วง 14 วันนี้ไปก่อน
ฉีดวัคซีนให้ต่างชาติแล้ว2แสนโดส
ถามถึงกรณีไทยรับมอบวัคซีนไฟเซอร์จากสหรัฐฯจำนวนเท่าใด พญ.อภิสมัย กล่าวว่า ตามข่าวที่ออกมาไทยจะได้รับ 1.54 ล้านโดส แต่เมื่อจัดส่ง ไทยได้รับ 1,503,450 โดส ซึ่งตัวเลขการส่งมอบนี้เป็นตัวเลขที่ถูกต้อง และตรงกับงสถานทูตสหรัฐฯรายงานมา วัคซีนดังกล่าวจะนำไปจัดสรรนอกจากจะเป็นการกระตุ้นภูมิเข็มสามให้กับบุคลากรทางการแพทย์แล้ว จะจัดสรรให้กลุ่มผู้สูงอายุเกิน 60 ปี ผู้มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค และหญิงตั้งครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ รวมถึงชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในไทย ซึ่งเป็นกลุ่มกลุ่มผู้สูงอายุเกิน 60 ปี ผู้มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค และหญิงตั้งครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ เช่นกัน อีกทั้งยังจัดสรรให้กลุ่มผู้ที่จำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศด้วย อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศรายงานมาด้วยว่า ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ได้ฉีดวัคซีนให้ชาวต่างชาติแล้วกว่า 2 แสนโดส
ย้ำATKเป็นอุปกรณ์แพทย์ห้ามขายออนไลน์
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงข่าวเพิ่มเติมประเด็นการตรวจหาเชื้อโควิคด้วยชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK)ว่า ชุดตรวจดังกล่าวเป็นเครื่องมือทางการแพทย์ ไม่อนุญาตให้ขายทางออนไลน์ ตามตลาดนัด ตามร้านสะดวกซื้อ แต่จะซื้อได้ในร้านขายยาที่มีเภสัชกรประจำ เพราะต้องตรวจสอบเรื่องคุณภาพ ที่มาที่ไป และต้องมีคำอธิบายเพื่อให้เข้าใจว่าผลตรวจแล้วจะเป็นอย่างไร ซึ่งขณะนี้พบลักลอบขายทางออนไลน์อยู่จำนวนหนึ่งแล้วราคาค่อนข้างสูง หากพบว่าราคาสูงเกินไปขอความกรุณาอย่าซื้อ ขณะนี้มีอยู่ 19 ยี่ห้อและกำลังเพิ่มขึ้น แล้วราคาจะถูกลง ที่สำคัญองค์การเภสัชกรรมแทรกแซงโดยการนำมาจำหน่ายไม่เกิน 200 บาทต่อชุด ให้ซื้อได้คนละไม่เกิน 3 ชุด ซึ่งถือเป็นอีกช่องทางหนึ่ง
แจงขั้นตอนตรวจATKพบเชื้อเข้ารักษา
ด้านนพ.ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ แถลงประเด็นมาตรการหลังตรวจหาเชื้อโควิดด้วยชุด ATK แล้วพบติดเชื้อในกทม.แล้วว่า การเข้าระบบบริการสาธารณสุขของประชาชนทั้งที่มีอาการและไม่มีอาการ หากสงสัยอยากเดินเข้าโรงพยาบาลไปตรวจก็ไปได้ทุกโรงพยาบาล ทั้งภาครัฐและเอกชนในกรุงเทพมหานครทั้ง 132 แห่ง เมื่อตรวจโดย ATK หรือ PCR แล้ว หากติดเชื้อก็เข้าระบบรักษาได้ โดยจัดบริการ 1.ถ้าไม่มีอาการหรืออาการน้อยมาก แยกกับตัวที่บ้านได้ ก็จะเข้ากระบวนการโฮมไอโซเรชั่นดูแลผ่านระบบทางไกล และจะได้รับกล่องอุปกรณ์ดูแลตนเอง ถ้าจำเป็นต้องได้ยาฟาวิพิราเวีย จะได้รับ หลังจากนี้จะติดตามครบ 14 วัน ซึ่งวันนี้มีอยู่ 226 หน่วย และจะมากขึ้นอีกตามระบบโรงพยาบาล ดูแลประชาชน ได้เต็มรูปแบบตามระบบสาธารณสุขแล้ว 60,000 คน ตั้งเป้าความสามารถที่จะทำได้ถึง 100,000 คน
ตั้งศูนย์พักคอยชุมชน68แห่งหมื่นเตียง
นอกจากนี้ มีระบบคอมมูนิตี้ไอโซเรชั่นหรือศูนย์พักคอยโดยระบบของกรุงเทพมหานคร ที่จะตั้ง 68 แห่ง และจะมากขึ้น รองรับประชาชนเข้าไปนอนได้ถึง 10,000 เตียง วันนี้ดำเนินการได้แล้ว 46 แห่ง 5,000 กว่าเตียง โดยจะกระจายทุกเขต นอกจากนี้ ยังมีศูนย์พักคอยที่ดำเนินการโดยประชาชน ภาคประชาสังคมอีกกว่า 100 แห่ง โดยต้องให้ลงทะเบียนกับกรุงเทพมหานคร เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนด้านระบบสุขาภิบาล การกำจัดขยะติดเชื้อ สนับสนุน อาหารและยา ถ้าเป็นผู้ป่วยสีเหลืองแดง ก็เข้าโรงพยาบาลสนาม ฮอสพิเทล โรงพยาบาลหลัก โดยดูตามอาการแต่ละบุคคล
2.หน่วยCCRT คือ ทีมทำงานด้านป้องกันและแก้ปัญหา โควิด-19 เชิงรุกในชุมชน 226 ทีม เป็นทีมเดินเท้าตรวจคัดกรองเบื้องต้น สอบสวนโรค รักษาให้ยา ฉีดวัคซีนให้ได้ ทำงานได้ครบทุกหน้าที่เบ็ดเสร็จในตัวประชาชนก็ไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล เข้าสู่ระบบโฮมไอโซเรชั่น หรือข้อมูลนิตี้ไอโซเรชั่น 3.หากรอเตียงอยู่ที่บ้าน ก็เข้าระบบภาครัฐและเอกชนได้โดย 1330 ของ สปสช. และอีกช่องทางหนึ่งคือ เบอร์สายตรงของ 50 เขตกรุงเทพมหานคร โดยหนึ่งเบอร์มี 20 คู่สายรองรับได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ยันปชช.ทุกคนมีผลบวกต้องได้รักษา
ยืนยันว่าประชาชนทุกคน ที่มีผลบวกจะได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ผู้ป่วยรายใดที่จำเป็นต้องได้รับยาก็จะได้รับ ซึ่งยาฟาวิพิราเวียมีอยู่เพียงพอ แต่ถ้ามีอาการเร่งด่วนฉุกเฉินที่คิดว่าเป็นอันตรายต่อชีวิตจาก โควิด-19 สามารถขอร้องขอความช่วยเหลือด่วนที่ 1669 สายด่วนช่วยชีวิต ศปก.ศบค. จัดทำระบบบูรณาการให้ประชาชนได้รับบริการทุกคน ขอปวารณาว่าผู้ป่วยทุกคนที่ติดเชื้อ โควิด-19 จะได้รับเข้าสู่ระบบรักษาทางการสาธารณสุขและการแพทย์อย่างเหมาะสม
วอนเข้มล็อคดาวน์25%นาน2สัปดาห์
เวลา 13.30 น. ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวผ่านระบบออนไลน์ถึงการประกาศขยายระยะเวลาล็อกดาวน์อีก 14 วันว่า สถานการณ์ทั่วโลกติดเชื้อโควิดสะสม 199 ล้านคน ถือเป็นช่วงขาขึ้นจากการระบาดของสายพันธุ์เดลตาที่รุนแรงขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้ทั่วโลกชะลอการระบาดไป แต่ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาติดเชื้อเพิ่มขึ้นประมาณ 4-6 แสนรายต่อวัน เสียชีวิตสะสม 4.24 ล้านคน คิดเป็น 2.13% สำหรับประเทศไทยติดเชื้อใหม่วันนี้ 17,970 ราย รักษาหาย 13,919 ราย อยู่ระหว่างรักษา 208,875 ราย และเสียชีวิต 178 ผู้ป่วยใหม่ยังเพิ่มขึ้น จากการคาดการณ์ติดเชื้อและเสียชีวิตหลังล็อกดาวน์ พบตัวเลขสถานการณ์จริง ทั้งติดเชื้อและเสียชีวิตใกล้เคียงตัวเลขคาดการณ์ประสิทธิภาพการล็อกดาวน์ 20% อย่างไรก็ตาม หากเพิ่มประสิทธิภาพการล็อกดาวน์เป็น 25% ร่วมกับการฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ จะทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตลดลงค่อนข้างมาก ดังนั้น การเพิ่มประสิทธิภาพแค่ 5% ก็จะมีผลอย่างมาก ขณะนี้เราจึงต้องร่วมกันควบคุมการติดเชื้อ ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนช่วยกันล็อกดาวน์ให้ถึง 25% ทั้งเรื่องของงดการเดินทาง การไปพบปะ การดูแลตนเองที่ต้องทำเข้มขึ้น จะทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อและเสียชีวิตจะลดลงรวดเร็วเช่นกัน
ฟื้นสโลแกนอยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ
ปลัด สธ.กล่าวต่อว่า ปัจจุบันศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค หรือ CDC สหรัฐพบว่า โควิดเป็นสายพันธุ์เดลตา ซึ่งผู้ป่วย 469 ราย พบว่า 74% หรือ 346 ราย ของผู้ติดเชื้อฉีดวัคซีนครบโดสแล้วเป็นสายพันธุ์เดลตา 90% ดังนั้น การป้องกันตัวเองจึงยังสำคัญ ทั้งสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ทุกมาตรการที่รัฐบาลออกไปเป็นการขอความร่วมมือ ยังไม่ได้ใช้มาตรการทางกฎหมาย คนไทยต้องแสดงให้เห็นว่าภาวะวิกฤต ความร่วมมือมีค่ามากที่สุดในการลดการติดเชื้อ ขอให้กลับไปนึกถึงตอนเมษายนปีที่แล้ว อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อทุกคนไม่ติดโรค ไม่แพร่กระจายโรคต่อไป จึงขออีก 2 สัปดาห์ หลังล็อกดาวน์จาก 13 จังหวัดเป็น 29 จังหวัด ถ้าสามารถกดลงมาได้โดยประสิทธิภาพของการล็อกดาวน์เพิ่มอีก 5% ลักษณะการติดเชื้อ การป่วยหนัก และเสียชีวิตจะลงมาในระดับควบคุมได้ ขอให้อยู่บ้านเพื่อหยุดเชื้อเพื่อเราทุกคน
ล็อกดาวน์เวลาทอง2สัปดาห์ลดเชื้อให้ได้
ด้านนพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวเพิ่มเติมว่า หลังประกาศลดการเดินทางตั้งแต่ 2 สัปดาห์ที่แล้วพบแนวโน้มลดลง แต่ยังน้อยกว่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อย่าง กทม.และชลบุรี ปีที่แล้วลดลงได้ 80% ส่วนปีนี้ทำได้เพียง 70% ต้องขอความร่วมมือทำให้ความเสี่ยงลดลง เชื้อโรคจะไม่มีที่ไปต่อ ถ้าลดการเดินทาง เชื้อโรคก็ลดโอกาสแพร่เชื้อ ส่วนเรื่องการล็อคดาวน์นั้น เราใช้เวลาล็อกดาวน์มาระยะหนึ่งแล้ว ถ้าเพิ่มระยะเวลาจากนี้ต้องร่วมมือกันทำให้การแพร่เชื้อน้อยลงมากที่สุด อยากให้ประชาชนวางแผนให้ดี ออกจากบ้านน้อยที่สุด คนทำงานออฟฟิศหน่วยงานรัฐและเอกชนให้ทำงานที่บ้าน 100% หรือมากที่สุดเท่าที่ทำได้ คนที่ไม่ได้ทำงานออฟฟิศวางแผนเดินทางให้น้อยลงที่สุดเช่นกัน เช่น ไปตลาดสัปดาห์ละหลายครั้ง ก็ลดเหลือสัปดาห์ละครั้ง เพื่อเจอผู้คนน้อยลง และไม่มีผลกระทบเรื่องอุปโภคบริโภค กิจกรรมที่ทำทางออนไลน์ได้ เจอผู้คนน้อยลงก็ให้ทำ การอยู่บ้านเพิ่มความเข้มงวดป้องกัน มีผู้สูงอายุโรคเรื้อรังในบ้าน เราไม่อยากให้เสี่ยงจากคนที่ออกจากบ้าน ผู้ที่ออกจากบ้านจึงต้องป้องกันตนเอง สวมหน้ากากเว้นระยะห่าง กลับมาก็ต้องทำเพราะไม่แน่ใจว่าติดหรือไม่ ตอนนี้เป็นเวลาทองใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า ถ้าร่วมมือเต็มที่ ถ้ายุติชะลอการแพร่ระบาดได้เราก็จะปลอดภัยกันทั้งสังคม
นายกฯรับไฟเซอร์จากสหรัฐ1.5ล้านโดส
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานพิธีรับมอบวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยนายไมเคิล ฮีธ (Mr. Michael Heath) อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เป็นผู้แทนรัฐบาลสหรัฐฯ
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการรับมอบว่า นายกรัฐมนตรีขอบคุณรัฐบาลสหรัฐฯที่ดูแลคนไทย และผู้ประกอบการไทยที่ดำเนินธุรกิจในสหรัฐฯ เป็นอย่างดี พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลจะนำวัคซีนทั้งหมดไปบริหารจัดการอย่างเหมาะสมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนคนไทยต่อไป
รับมอบแอสตร้าฯจากอังกฤษ4.1แสนโดส
จากนั้น นายกฯ เป็นประธานพิธีรับมอบวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) จากรัฐบาลสหราชอาณาจักร โดยนายเอวาน โจนส์ (H.E. Mr. Evan Jones) อุปทูตรักษาราชการแทนเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย เป็นผู้แทนรัฐบาลสหราชอาณาจักรเข้าร่วมพิธีฯ โดยนายกฯกล่าวขอบคุณในมิตรไมตรีและความห่วงใยของรัฐบาลสหราชอาณาจักร ผ่านการสนับสนุนวัคซีนโควิด-19 ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า 415,040 โดส นายกฯเชื่อมั่นว่า การสนับสนุนวัคซีนของสหราชอาณาจักร จะช่วยให้ไทยเดินหน้าต่อได้อย่างเข้มแข็งมั่นคง โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ
อย่าหลงเชื่อหลอกขายฟาวิพิราเวียร์
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงเตือนประชาชนถึงกรณีมีการ หลอกลวงขายยาฟาวิพิราเวียร์ ยาต้านไวรัสโควิดผ่านช่องทางต่างๆว่า ให้ประชาชนระวัง อย่าหลงเชื่อไปซื้อมารับประทานเอง เพราะปัจจุบันยาฟาวิพิราเวียร์เป็นยาที่ใช้เฉพาะในสถานพยาบาลเท่านั้น ไม่มีวางขายตามร้านขายยาหรือท้องตลาดทั่วไป เนื่องจากต้องใช้ภายใต้การวินิจฉัยและคำสั่งแพทย์ ป้องกันการใช้ยาเกินจำเป็นและลดปัญหาไวรัสดื้อยาในผู้ป่วย
อภ.ผลิตได้เองเดือนละ2-4ล้านเม็ด
ความคืบหน้าการจัดหายาฟาวิพิราเวียร์ของรัฐบาลนั้น รองโฆษกฯกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขจัดหายาฟาวิพิราเวียร์ให้เพียงพอ ทั้งนำเข้าจากต่างประเทศ และผลิตเองในประเทศที่ขณะนี้องค์การเภสัชกรรม(อภ.) เริ่มผลิตได้จะทยอยส่งมอบตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป ศักยภาพการผลิตอยู่เดือนละ 2-4 ล้านเม็ด ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขจ่ายให้ผู้ป่วยโควิด ที่เข้าระบบรักษาแบบ Home Isolation ซึ่งลงทะเบียนผ่าน 1330 กด 14 โดยพิจารณาให้ยาฟ้าทะลายโจรหรือยาฟาวิพิราเวียร์ตามระดับอาการด้วยแล้ว
สำรองเวชภัณฑ์คงคลังระบบสูง
ในส่วนเวชภัณฑ์ป้องกันตนเองสำหรับเจ้าหน้าที่ ขณะนี้มีอัตราสำรองคงคลังส่วนใหญ่ ยังอยู่ในระดับสูง เช่น หน้ากาก N95 มีสำรองทั้งคลังส่วนกลางและคลังภูมิภาค อัตราสำรองคงคลัง 9 เดือน ชุด PPE แบบ Coverall&Grown อัตราคงคลัง 3 เดือน ถุงคลุมรองเท้า (Shoe Cover) อัตราสำรองคงคลัง 10 เดือน หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ (Surgical mask) มีสำรองในคลังทั่วประเทศ อัตราสำรองคงคลัง 12 เดือน ส่วนใดที่สำรองคงคลังลดลงกระทรวงสาธารณสุขก็จัดหาให้เพียงพอ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี