สถานการณ์ติดเชื้อจะดีขึ้น
‘บิ๊กต่’มั่นใจ
มาตรการรัฐ-สธ.รับมือไหว
ยอดผู้ป่วย-ติดเชื้อใกล้เคียงกัน
ไทยได้แอสตราฯแล้ว11.3ล้าน
สธ.ป้องทีมกุนซือไม่เกี่ยวสั่งซื้อ
ป่วยเฉียด1.9หมื่น-ตาย147ศพ
พุ่งไม่หยุด!ติดเชื้อรายใหม่เกือบ 1.9 หมื่น หายป่วย 18,590 คน โคม่า4,893 ใส่ท่อหายใจ 1,046 ราย ตายเพิ่ม147 ศพ อยู่ในกทม. 55 คน ปลัดสธ.นำทีมผู้บริหารอ่านแถลงการณ์ป้องทีมแพทย์ที่ปรึกษาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกำหนดนโยบาย หรือจัดซื้อจัดจ้างวัคซีนตามบางกลุ่มกล่าวอ้าง กรมควบคุมโรคเผยทยอยส่งไฟเซอร์ล็อคสหรัฐบริจาคให้บุคลากรด่านหน้าทั่วประเทศภายในสัปดาห์นี้ แต่ต้องเตรียมระบบและคนฉีดให้พร้อม มีไทม์ไลน์แน่ชัด สปสช.ขยายเวลาให้บริการจุดตรวจหาเชื้อโควิดฟรี 3 จุด
ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงสถานการณ์ระบาดไวรัสโควิด-19 ประจำวันที่ 3 สิงหาคม โดยยอดติดเชื้อและเสียชีวิตยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ติดเชื้อเพิ่ม18,901-โคมา4,893คน
โดยจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 18,901 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 18,151 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 15,176 ราย มาจากการค้นหาเชิงรุก 2,975 ราย มาจากเรือนจำ 743 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 7 ราย ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสม 652,185 ราย หายป่วยเพิ่มเติม 18,590 ราย หายป่วยสะสม 437,831 ราย อยู่ระหว่างรักษา 209,039 ราย อาการหนัก 4,893 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 1,046 ราย
ตาย147-ฉีดวัคซีนแล้ว18.1ล้าน
ส่วนผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม 147 ราย เป็นชาย 84 ราย หญิง 63 ราย อยู่ในกทม.มากที่สุด 55 ราย รองลงมาคือ ปทุมธานี 11 ราย สมุทรสาคร 8 ราย นครปฐม 6 ราย นนทบุรี 5 ราย สมุทรปราการ 4 ราย ปัตตานี 7 ราย สงขลา 5 ราย นราธิวาส 2 ราย ยะลา 1 ราย นครศรีธรรมราช 2 ราย ตรัง 1 ราย ระนอง 1 ราย ตาก 3 ราย สุโขทัย 3 ราย พะเยา 2 ราย กำแพงเพชร 2 ราย ชัยนาท 2 ราย นครสวรรค์ 1 ราย จันทบุรี 3 ราย อ่างทอง 3 ราย ชลบุรี 2 ราย ปราจีนบุรี 2 ราย สระบุรี 2 ราย เพชรบุรี 1 ราย ระยอง 1 ราย สระแก้ว 1 ราย และประจวบคีรีขันธ์ 1 ราย สำหรับจำนวนผู้ฉีดวัคซีนของไทย วันที่ 2 สิงหาคม 332,299 โดส ทำให้มียอดฉีดวัคซีนสะสม 18,198,825 โดส ขณะที่สถานการณ์โลก มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 199,595,039 ราย เสียชีวิตสะสม 4,248,886 ราย
ขยายวันตรวจโควิดปชช.ฟรี3จุด
ขณะที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ประกาศขยายวันให้บริการตรวจโควิดเชิงรุกฟรี 3 จุด ที่ได้เปิดให้บริการไปก่อนหน้านี้ ซึ่งตรวจคัดกรองด้วยชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) โดยผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ รู้ผลภายใน 30 นาที ได้แก่ 1. สนามกีฬาธูปะเตมีย์ กองทัพอากาศ ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี โดย สปคม. ขยายจนถึงวันที่ 13 สิงหาคม (หยุดวันเสาร์-อาทิตย์) ตั้งแต่เวลา 08.00-15.00 น. 2.สนามราชมังคลากีฬาสถาน (หัวหมาก) เขตบางกะปิ กทม. ขยายจนถึงวันที่ 13 สิงหาคม (หยุดวันเสาร์-อาทิตย์) ตั้งแต่เวลา 08.00-15.00 น 3.ลานจอดรถ ชั้น 1 อาคารบี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ถ.แจ้งวัฒนะ กทม.ตรวจโดย คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล ขยายเพิ่มอีก 2 วัน วันที่ 2–3 สิงหาคม เวลา 8.00-16.00 น. ทั้งนี้ ประชาชนที่เข้าตรวจคัดกรองโควิดเชิงรุก ต้องเตรียมบัตรประชาชนตัวจริงพร้อมสำเนาบัตร 2 ชุดไปด้วย และหากผลเป็นบวก จะมีการจับคู่คลินิกชุมชนอบอุ่นดูแลที่บ้านหรือที่ชุมชน
เช็คความพร้อมทุกจว.ก่อนส่งไฟเซอร์
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.)แถลงความคืบหน้าการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์จำนวน 1.5 ล้านโดสที่สหรัฐอเมริกาบริจาคให้ไทย ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จะทยอยจัดส่งไปในจังหวัดต่างๆ เพื่อฉีดเป็นบูสเตอร์โดส ให้บุคลากรแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า ที่ลงทะเบียนไว้ในแต่ละโรงพยาบาลทั่วประเทศว่ายังไม่มีการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ไปให้แต่ละจังหวัด เพราะกำลังสรุปข้อมูลบุคลากรฯ ที่จะเข้ารับการฉีดให้ชัดเจน ด้วยข้อจำกัดของวัคซีนที่ต้องเก็บในอุณหภูมิ -70 ถึง -90 องศาเซลเซียส ในคลัง เมื่อไปถึงตู้เย็นของโรงพยาบาลแต่ละจังหวัด จะเป็นตู้แช่อุณหภูมิ -20 องศาฯ เป็นอุณหภูมิที่ต่ำกว่า โดยเฉพาะการนำออกมาแช่ในตู้เย็น ณ จุดฉีดที่มีอุณหภูมิเพียง 2-8 องศาฯ โดยวัคซีนจะมีอายุอยู่ได้ไม่กี่ชั่วโมง ดังนั้น การจะส่งไปแต่ละพื้นที่ ต้องเช็กความพร้อมการฉีดให้ชัดเจนมาก ซักซ้อมการฉีดที่ต้องผสมกับน้ำเกลือเพื่อเจือจางความเข้มข้นของวัคซีนให้ได้ตามมาตรฐาน จึงต้องตรวจสอบความพร้อมเพื่อป้องกันความผิดพลาด คาดว่าจะเริ่มกระจายได้สัปดาห์นี้
“สำหรับไฟเซอร์1 ขวด เป็นวัคซีนเข้มข้น ต้องผสมด้วยน้ำเกลือ หรือศัพท์การแพทย์ เรียกว่า 0.9% นอร์มอลซาไลน์ ผสมเข้าด้วยกันก็จะนำมาฉีดได้ ใน 1 ขวดเมื่อผสมแล้วจะฉีดได้ 6 โดส ต่างจากวัคซีนที่เราฉีดใน 2 ยี่ห้อก่อหน้านี้คือ เดิมเราฉีด 0.5 ซีซีเข้ากล้ามเนื้อ แต่ไฟเซอร์กำหนดให้ 1 โดส เท่ากับ 0.3 ซีซี ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ โดยเข็มที่2 จะฉีดห่างออกไป 3 สัปดาห์ ฉีดได้กลุ่มอายุ 12 ปีขึ้นไป การเก็บใน 2-8 องศาฯ จะเก็บได้ประมาณ 1 เดือน ฉะนั้นต้องมีไทม์ไลน์ที่ชัดเจน”นพ.โอภาส กล่าว
สธ.ป้องทีมกุนซือไม่เกี่ยวซื้อวัคซีน
ขณะที่นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และอธิบดีทุกกรม โดยนพ.เกียรติภูมิ อ่านแถลงการณ์กระทรวงสาธารณสุขกรณีการแสดงความคิดเห็นต่อคณาจารย์ด้านวิชาการของกระทรวงสาธารณสุข ตามที่มีการแสดงความคิดเห็นของคนบางกลุ่มด้วยถ้อยคำรุนแรง จนมีผลกระทบต่อการทำงาน และการดำเนินชีวิตของคณาจารย์ในคณะที่ปรึกษาของสธ. เช่น ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รศ.(พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีศิริราชพยาบาล และศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยคลินิกศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เป็นต้น
กระทรวงสาธารณสุข ขอเรียนทำความเข้าใจว่า กระทรวงฯเรียนเชิญคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสถาบันมาช่วยเป็นที่ปรึกษา เป็นคณะกรรมการ หรือคณะทำงาน ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขได้รับความอนุเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์มาต่อเนื่อง ตั้งแต่ก่อนระบาดโควิด-19 และทุกคนให้ความเห็น ข้อเสนอแนะ ในฐานะนักวิชาการอย่างเป็นอิสระ และเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง คณาจารย์ทุกคนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบาย หรือจัดซื้อจัดหาเวชภัณฑ์วัคซีนแต่อย่างใด กระทรวงสาธารณสุขขอขอบพระคุณ ชื่นชม และให้กำลังใจคณาจารย์ทุกคนที่เสียสละ ทำงานเพื่อประเทศชาติ และขอให้สังคมเข้าใจและรับทราบบทบาทที่มีคุณค่ายิ่งของอาจารย์ทุกคน
ย้ำร้านอาหารห้างขายไม่สัมผัสคนซื้อ
ด้านนพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย แถลงชี้แจงมาตรการให้ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าเปิดขายอาหารได้ แต่ต้องเป็นเดลิเวอรี่เท่านั้นว่า การระบาดโควิดครั้งนี้กระจายไปทั่วประเทศ ทำให้รัฐบาลจำเป็นออกมาตรการ เพื่อลดติดต่อสัมผัสใกล้ชิดผู้คน ลดการเดินทาง โดยเฉพาะการออกนอกบ้าน ห้าม งด จำกัด ปิดกิจกรรมกิจการที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาด ซึ่งร้านอาหารก็เป็นหนึ่งในกิจการเสี่ยงระบาดเช่นกัน ซึ่งมาตรการร้านอาหารที่งคับใช้วันที่ 3 สิงหาคม อย่างไรก็ตาม มีประชาชนสอบถามมามากว่า ถ้าห้างฯเปิดซูเปอร์มาร์เก็ตให้ซื้อของใช้ได้ ถ้าเราไปซื้อของในซูเปอร์ฯจะซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มในร้านอาหารที่ได้รับผ่อนคลายได้หรือไม่โดยไม่ต้องไปสั่งผ่านไรเดอร์ ขอชี้แจงว่า หากร้านอาหารในห้างฯหรือตัวห้างฯเอง หากจัดระบบขายอาหารแบบไม่สัมผัสผู้บริโภค โดยอาจมีระบบเดลิเวอรีเอง เช่น สั่งออนไลน์ หรือโทรศัพท์ และจัดจุดให้ผู้บริโภครับอาหาร ที่ไม่ต้องไปรอแออัดหน้าร้าน ก็ทำได้ แต่หากศูนย์การค้า หรือห้างสรรพสินค้า รวมทั้งร้านอาหารหรือเครื่องดื่มนั้นๆ ไม่สามารถจัดระบบดังกล่าวได้ ก็ไม่สามารถเปิดบริการขายเช่นนั้น แต่ต้องขายด้วยการใช้บริการผ่านฟู้ดเดลิเวอรี หรือไรเดอร์แทน
ร้านทั่วไปห้ามรวมตัวหน้าร้าน
สำหรับการจัดระเบียบพนักงานส่งอาหารในการรับอาหารไปส่งนั้น นพ.สุวรรณชัยกล่าวว่า ที่เป็นปัญหาส่วนใหญ่มาจากกลุ่มพาร์ทไทม์ และประเด็นที่ได้รับร้องเรียนคือ จุดที่รอรับอาหาร หรือจุดส่งคำสั่งซื้อ ต้องแยกเป็น 2 กรณี กรณีแรก เป็นร้านอาหารภายนอก ต้องขอความร่วมมือแต่ละร้านควบคุม จัดระบบ ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ต้องขอให้มีมาตรการจัดระเบียบ ไม่ให้รวมตัวหน้าร้าน ส่วนกรณีที่สอง เป็นร้านอาหารในศูนย์การค้าฯ ห้างสรรพสินค้าต้องจัดระบบ และควบคุมกำกับ ไม่ให้ไรเดอร์มารวมกลุ่ม แออัด
“ส่วนจะมีโทษหรือไม่นั้น ตัวข้อกำหนดต่างๆที่ออกตามมาตรา 9 ในพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ร่วมกับในส่วนของพ.ร.บ.โรคติดต่อฯ ซึ่งแต่ละจังหวัดจะไปออกประกาศ โดยกำหนดชัดเจนว่า กรณีอยู่นอกเคหะสถาน หากไม่สวมหน้ากากอนามัย ถือว่ามีความผิด และคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติได้ออกระเบียบ ซึ่งออกตามมาตรา 34(6) ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.2564 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้กำหนดความผิดในเรื่องการรวมกลุ่ม และไม่สวมหน้ากากอนามัย รวมทั้งการพูดคุย การสูบบุหรี่ หรือกิจกรรมนันทนาการใดๆ ก็ตาม โดยหากผิดครั้งแรกจะมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท หากครั้งที่ 2 ปรับ 1,000 -10,000 บาท ครั้งที่ 3 ปรับ 10,000 -20,000 บาท” นพ.สุวรรณชัย กล่าว
แอสตร้าฯส่งให้ไทยรวม11.3ล้านโดส
วันเดียวกัน ผู้บริหารวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในไทย ออกแถลงระบุถึงจำนวนวัคซีนที่บริษัทส่งมอบให้ไทยว่า ตลอดเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บริษัทฯ ส่งมอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 จำนวน 5.3 ล้านโดส ให้กระทรวงสาธารณสุข ตามแผนจัดหาวัคซีน 61 ล้านโดสให้ประเทศไทยโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สำหรับจำนวนวัคซีนที่ส่งมอบให้ไทยตลอดสองเดือนที่ผ่านมาคือ มิถุนายน-กรกฎาคม เป็นไปตามที่แอสตร้าเซนเนก้าคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า เมื่อกระบวนการผลิตดำเนินไปได้ราบรื่นตามแผน จะจัดสรรและส่งมอบวัคซีนให้ไทยได้ 5-6 ล้านโดสต่อเดือน ทั้งนี้ ยอดรวมวัคซีนที่แอสตร้าเซเนก้าส่งมอบให้ไทยถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม เป็นจำนวน 11.3 ล้านโดส และเริ่มจัดสรรวัคซีนที่ผลิตในไทยให้ประเทศใกล้เคียงแล้วในเดือนกรกฎาคมเช่นกัน
นายเจมส์ ทีก ประธาน บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า สยามไบโอไซเอนซ์เป็นแหล่งผลิตวัคซีนที่มีผลงานยอดเยี่ยมหนึ่งในเครือข่ายการผลิตทั่วโลก สามารถผลิตวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเต็มกำลังการผลิต รวมถึงสามารถส่งมอบวัคซีนที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพสูงสุดให้แอสตร้าฯ เราพร้อมทำงานร่วมกับสยามไบโอไซเอนซ์ต่อไป เพื่อหาแนวทางช่วยให้ส่งมอบวัคซีนได้เร็วขึ้นเท่าที่จะเป็นไปได้
นายกฯยันจะดีขึ้น-หายใกล้ผู้ป่วยใหม่
ที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้พญ.สุวณี รักธรรม รองประธานสมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์และคณะ เข้าพบเพื่อประชาสัมพันธ์การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดอกมะลิ เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ ประจําปี 2564 ซึ่งสมาคมสภาสังคมสงเคราะห์ฯจัดทำดอกมะลิซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของงาน “วันแม่แห่งชาติ”ออกโดยเผยแพร่และจำหน่วยเป็นประจำทุกปี ทั้งนี้ นายกฯสอบถามด้วยความห่วงใยถึงการดำเนินงานของสมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ และการจำหน่ายดอกมะลิ สัญลักษณ์งานวันแม่แห่งชาติ เนื่องอาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ระบาดโควิด ขณะนี้เชื่อว่าสถานการณ์จะดีขึ้นเพราะรัฐบาลออกมาตรการที่ตอบสนองสถานการณ์ รวมถึงความร่วมมือด้วยดีของประชาชนทุกภาคส่วน และขณะนี้จำนวนผู้หายป่วยใกล้เคียงกับจำนวนผู้ติดเชื้อแล้ว แสดงให้เห็นว่าระบบรักษาพยาบาลของไทยยังบริหารจัดการได้ ขอให้ทุกคนระวังดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงและปลอดภัย ปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันตนเองไม่ให้ติดเชื้อ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี